Trend 1: Boundaryless Competitive Landscape
การแข่งขันแบบไร้ขอบเขต
การแข่งขันจะไม่ถูกจำกัดแค่กับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอีกต่อไป การผสมผสานของเทคโนโลยี, ดาต้า, และเงินทุนสามารถทำให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าไปในธุรกิจอื่นได้ง่ายขึ้น จากปัจจัยนี้ทำให้ธุรกิจจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันเข้ามาตอบสนองความต้องการเดิม ในขณะที่เวลาและกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนคู่แข่ง
คู่แข่งจะมีสองรูปแบบ
1) สินค้าทดแทนได้ทางตรง ยกตัวอย่างเช่น Starlink ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ SpaceX สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตได้และสามารถเข้ามา Disrupt เครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ได้อนาคต
2) การสนองความต้องการทางอ้อม การซื้อ Nintendo Switch เพื่อการออกกำลังกายแทนที่การไปออกกำลังกายในฟิตเนส
ดังนั้นแล้วธุรกิจไม่ได้แค่สู้กับ share of wallet หรือรายได้ที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายใช้สอยแต่รวมถึงความสนใจและการแก้ปัญหาใหม่ๆ ของผู้บริโภคด้วย ผู้ที่สามารถดึงความสนใจของผู้บริโภคได้มากกว่าจะสามารถชนะในการแข่งขันในตลาดจริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะชนะในศึกนี้ต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด แบรนด์ต้องเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าปฏิเสธไม่ได้ และมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของลูกค้า
วิธีการที่ธุรกิจสามารถชนะในศึกไร้ขอบเขตได้วิธีการดังนี้
กรณีศึกษา :
Tips : ดังนั้นอย่ารอให้ใครมาปฏิวัติวงการของเรา เราต้องรีบ “เปลี่ยนแปลง” เพื่อป้องกันตลาดเอง
กรณีศึกษา :
Tips : วิธีที่เวิร์คที่สุดในการหาไอเดียใหม่ ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมตัวเอง เพราะการหาไอเดียสดใหม่ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในกรอบธุรกิจของเรา !
กรณีศึกษา :
ครั้งหนึ่งที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อยากสร้างแบรนด์เพื่อดึงลูกค้าระดับสุดยอดวีไอพี แทนที่จะดูว่าแบรนด์อสังหาริมทรัพย์เจ้าอื่นทำยังไง เขาควรมองไปที่แบรนด์แฟชั่นหรูหราที่เป็นเลิศเพราะนี่เป็นธุรกิจที่ผู้นำในตลาดลูกค้าสุดยอดวีไอพี เรียนรู้ว่าจะเสริมแบรนด์ยังให้ดู exclusive จาก Hermès แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มมูลค่าได้แม้ว่าจะเรียนรู้จากกระเป๋า Birkin ก็ตาม (กระเป๋า Birkin เป็นชื่อกระเป๋าภายใต้แบรนด์ Hermès)
สำหรับแบรนด์ที่เป็นผู้นำ จงอย่ามองแค่คู่แข่งขัน เพราะถ้าคุณทำตามคู่แข่งขัน เราจะเป็นแค่ผู้ตามตลอดไป แต่จงจับตาและเรียนรู้แบรนด์อื่นๆ นอกวงการมากกว่า เพื่อเรียนรู้แล้วสร้าง “สิ่งใหม่ๆ” ให้วงการของคุณ แบบนี้แหละที่เรียกว่า “ผู้นำตลาดของแท้”
3) ขยาย ecosystem และพัฒนา value offering
กรณีศึกษา :
Key Take Away: การแข่งขันแบบไร้ขอบเขต
– จับตาดูลูกค้าคุณให้ดี หน้าที่เราคือรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของลูกค้า และทำให้ชีวิตลูกค้าคุณดีขึ้น
– จับตาดูคู่แข่งของคุณให้ดี จุดอ่อนคู่แข่งคืออะไร เพื่อให้คุณพร้อมรับมือในการแข่งขัน
– จับตาดูวงการอื่นๆ เพื่อหาไอเดีย สดใหม่ มาใช้ในธุรกิจคุณ
Trend 2: “Survival” Business Transformation
เอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนอย่างมากในปี 2020 ความไม่แน่นอนในอนาคตและมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมมีผลกระทบต่อหลายๆ ภาคธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องมีการพบหน้ากัน อาทิ ร้านอาหาร โรงแรม ท่องเที่ยว โรงภาพยนต์ ที่เจอกับยอดขายที่ตกลง
ในภาวะผันเปลี่ยนนี้ โมเดลธุรกิจที่เคยได้ผลในอดีตอาจจะไม่เวิร์คอีกต่อไปเลยส่งผลให้ธุรกิจหลายๆ เจ้าต้องปิดตัวไป เว้นแต่ธุรกิจที่รอดจากสถานการณ์นี้ได้คือเจ้าที่ปรับโมเดลตัวเองและขยายจากตลาดเดิมของตัวเองได้
ถึงแม้ปีหน้าอาจจะมีวัคซีน เราไม่ทราบเลยว่าโลกต้องเผชิญกับภัยที่คาดไม่ถึงอีกเมื่อไร ดังนี้ การเตรียมพร้อม คือ ทักษะการอยู่รอดที่แท้จริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การที่จะประสบความสำเร็จในยุคแห่งความไม่แน่นอนนั้นต้องมีการเตรียมโมเดลธุรกิจไว้ 2 โมเดล ที่ต้องฝังรากลงไปถึงแก่นขององค์กร เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้
กรณีศึกษาที่ 1 :
Food Passion (ผู้นำในด้านธุรกิจร้านอาหารที่เป็นเจ้าของ Bar-B-Q Plaza, Jum Zapp และ RedSun) ทางธุรกิจประสบความท้าทายจากมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้ต้องหยุดการให้บริการสาขาที่มีมากกว่าร้อยสาขาลงทำให้รายได้หลักหายวับไปกับตา แต่ Food Passion ตอบโต้สถานการณ์ด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา เตรียมแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภค กระบวนการเหล่านี้นำมาสู่การออกสินค้าและช่องทางการขายใหม่ๆ และบทเรียนสำหรับแผนธุรกิจในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว
Key activities ที่ช่วยให้ Food Passion สามารถฝ่าฝันวิกฤตที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จที่แสดงให้เห็นผ่านการที่รายรับเติบโตขึ้นมาเป็นสองเท่า สามารถแสดงได้เป็น 3 เฟสดังนี้
เฟส 1 การจะรอดในวิกฤตต้องมีกระแสเงินที่แข็งแกร่งและช่องทางรายได้ที่หลากหลาย
เฟส 2 กระจายความเสี่ยงโดยมองให้ไกลกลว่าธุรกิจที่ทำอยู่ปัจจุบัน
เฟส 3 หาลูกค้าใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้
บริการรูปแบบใหม่ที่ให้ลูกค้าได้ subscribe เพียง 600 บาทแล้วรับสิทธ์ e-voucher ที่สามารถใช้ได้กับทุกร้านในเครือและจะเพิ่มทีละเดือนจนถึงเดือนละ 1000 บาท แต่ก็มาพร้อมกับโปรโมชั่นที่คิดมาเพื่อลูกค้าโดยเฉพาะมากขึ้น บริการนี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้ลูกค้ารักในแบรนด์มากขึ้นรวมถึงติดใจในสิทธิพิเศษ
กรณีศึกษาที่ 2 :
การปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลเพื่อมอบคุณค่าให้ลูกค้า เพื่อรับศึก 2 ช่องทางไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์
ช่วงโควิด ก่อให้เกิดความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการหาหมอทางไกลไม่ว่าจะทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายนอกจากความเสี่ยงที่จะมาติดเชื้อโควิดจากการใช้บริการในโรงพยาบาล ปัจจัยภายในจากเคสผู้ป่วยบางรายต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและครบวงจรอาทิ เบาหวาน เหตุการณ์เหล่านี้กระตุ้นให้โรงพยาบาลต้องรีบสร้างโซลูชั่นการหาหมอทางไกลเพื่อจะยังสามารถให้บริการลูกค้าได้จนทำให้เกิดการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่น สมิติเวชได้ออกคลินิกจำลองและแอปสมิติเวชยังพัฒนาให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ได้รับการตรวจและฉีดวัคซีนเพียงแค่อยู่บ้าน ทำให้ช่องนี้ได้มีอัตราการเติบโตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา
Key Takeaway: เอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
Trend 3: Re-inventing New Sales Channels
สร้างช่องทางการขายที่ไม่เคยทำมาก่อน
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงล็อกดาวน์ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์เข้าสู่จุดพีค บริษัทต่างๆ เข้ามากอบโกยโอกาสนี้ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเว็บไซด์ของทางแบรนด์เอง โซเชี่ยวมีเดียหรือเว็บขายของออนไลน์ เหตุการณ์นี้เองบีบให้ร้านแบบดั้งเดิมและธุรกิจที่สร้างยอดขายผ่านทีมเซลต้องมีวิธีขายแบบใหม่ที่เหมาะสมกับปัจจุบันและสร้างบทบาทใหม่ให้ร้านแบบออนไลน์
ร้านค้าแบบ Physical Store ยังมีบทบาทจำเป็นในยุคการขายแบบออนไลน์ การใช้คอนเซปต์ค้าปลีกสนุกสนานหรือสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง สร้างสรรค์ ในการชักจูงให้ผู้บริโภคกลับมาที่ร้านอีกครั้ง ดังนั้นทุกช่องทางการขาย มีจุดเด่นต่างกัน ธุรกิจต้องมีการรีดีไซน์ช่องทางการขายและ customer journey เพื่อมอบประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลูกค้าในปัจจุบัน
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะมาเป็นผู้นำตลาดที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ยิ่งกว่าความหวังของผู้บริโภค แบรนด์ต้องยกระดับช่องทางการขายเพื่อจะรองรับช่องทางบูรณาการหรือประสบการณ์ไร้รอยต่อระหว่างออฟไลน์และออนไลน์
Direct-to-customer (D2C)
คือการขายสินค้าโดยไม่ต้องอาศัยพ่อค้าคนกลาง กำลังเป็นเทรนด์ของแบรนด์ใหญ่ ตัวอย่างที่เห็นล่าสุดมาจากการเปิดตัวเว็บไซด์ snack.com pantryshop.com โดยเป๊ปซี่โค เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสั่งขนมแบรนด์โปรดของตัวเองบนออนไลน์และส่งตรงมาถึงบ้านของผู้บริโภคเอง ความได้เปรียบของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การขายแบบนี้คือลดช่องว่างระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคเพื่อให้บริษัทแม่สามารถบริหารแบรนด์ของตัวเองได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะภาพลักษณ์ แผนการตลาด หรือกลยุทธ์การขาย กลยุทธ์นี้ได้มีการทำช่องทางการติดต่อระหว่างธุรกิจและผู้บริโภคและจากช่องทางนั้นเองที่แบรนด์สามารถตอบโต้และศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละกระบวนการการตัดสินใจซื้อเพื่อนำมาข้อมูลที่เป็น First party data เหล่านี้มาสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ตรงกับความชอบของผู้บริโภคด้วย
Social Commerce (โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค + อี–คอมเมิร์ช) แบรนด์สามารถขายของผ่านทางสื่อโซเชี่ยลมีเดียเพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มในการเข้าถึงผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งอย่างลื่นไหลโดยที่ตัวผู้บริโภคสามารถเลือกหาสินค้าและซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแอปไปมาให้ขาดตอน แบรนด์ยังสามารถใช้โซเชียลมีเดียที่เป็นหนึ่งในช่องการขายในการทำคอนเทนต์การตลาดแบบปากต่อปากที่สามารถแพร่หลายได้อย่างรวดเร็วจากการแชร์ของลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น
Instagram Shopping (อินสตาแกรมช้อปปิ้ง) ได้ทำการพัฒนาศัยภาพของการขายผ่านโซเชียลมีเดียโดยการออกฟีเจอร์ใหม่ๆ เอาใจสายซื้อของออนไลน์และผู้ประกอบการ
Online-to-offline (O2O Commerce): การผนวกกลยุทธ์ของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไหลลื่นผ่านแนวคิดว่าสองช่องทางนี้ไม่ได้แย่งลูกค้ากันแต่มาเสริมแกร่งกันและกัน ยกตัวอย่างของเทคนิค O2O เช่นการมารับของที่สั่งทางออนไลน์ที่หน้าร้านและการที่ลูกค้าสั่งให้ส่งออนไลน์ระหว่างที่มาเลือกดูสินค้าในร้าน
ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัลที่เป็นผู้นำด้านรีเทลในแง่ของการชนะใจไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ของลูกค้าตั้งแต่ ปรับแต่งประสบการณ์การช้อปปิ้งให้เข้ากับแต่ละบุคคล สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อของการช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ ช่องทางการขายใหม่ๆ ของเซ็นทรัลที่สร้างยอดขายจนสามารถพลิกกลับมาทำกำไรแม้กระทั่งในวิกฤตโควิด-19
Key Take Away: สร้างช่องทางการขายที่ไม่เคยทำมาก่อน
– จงสะกดรอย journey ลูกค้า เข้าใจ shopper และ redesign experience เพื่อปรับให้เข้ากับลูกค้าในปัจจุบัน
– From “Place” (4Ps marketing mix) to “everywhere” ห้ามอยู่แค่ one channel เราต้องไปหาลูกค้า ไม่ใช่แค่ลูกค้ามาหาเรา
Trend 4: “Human First” Innovation
นวัตกรรมที่คิดถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
การก้าวกระโดดของนวัตกรรมตั้งแต่ไซซ์ของชิปประมวลผล การเข้ามาของ cloud computing หรือ AI และ Machine Learning เป็นกลไกสำคัญทำให้มีสินค้าและบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแบบคาดไม่ถึง
แต่น่าเสียดายที่สินค้าและบริการจำนวนมากออกแบบมาจากวิสัยทัศน์ของผู้สร้างเป็นหลักซึ่งไม่ได้เข้าใจถึงแก่นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง (เป้าหมาย ความต้องการ แรงจูงใจ พฤติกรรม) Consumer insight เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนการตัดสินใจของผู้บริโภค การขาดความเข้าใจส่วนนี้ทำให้ลูกค้าเห็นแค่นวัตกรรมใหม่ แต่ไม่ใช่นวัตกรรมตอบโจทย์ชีวิตได้จริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะมอบนวัตกรรมที่มีความหมายต่อผู้บริโภคได้จริงนั้น ต้องสามารถทำสองสิ่งต่อไปนี้ได้
กับดักของการสร้างนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ในองค์กร
การออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น มีโซลูชั่นการจัดการระบบคิวสำหรับธุรกิจค้าปลีก ที่ทำหน้าที่สแกนจำนวนลูกค้าที่ยืนรอคิว และแจ้งให้ผู้จัดการร้านมาเปิดช่อง cashier counter เพิ่มเมื่อแถวยาวเกินจำนวนที่กำหนดได้ ไอเดียนี้ดูดีมาก เพราะทุกธุรกิจต้องการสร้างบริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า และลูกค้าที่มาช้อปปิ้งก็คงไม่มีใครอยากรอคิวนาน ฟังดูนวัตกรรมนี้น่าจะขายได้ดี
แต่เมื่อได้ค้นหา insight ลึกๆ พบว่ายังมีจุดบอดมากมาย ที่ทำให้ลูกค้าที่เป็น retail business ไม่สนใจใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ เพราะเมื่อศึกษา insight เชิงลึกแล้วพบว่า ปัญหาของการรอคิวมาจาก 4 ปัจจัยด้วยกัน ดังภาพนี้
Key Take Away:
Trend 5: “The good guy” Branded Business
แบรนด์ยุคใหม่ จริงใจและดีต่อโลก
ในยุคที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างมหาศาลอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต้องตระหนักถึงการกระทำที่จริงใจและถูกต้องมีจริยธรรม เช่น นำข้อมูลของผู้บริโภคนำไปใช้โดยปราศจากคำยินยอม การใช้ influencer อย่างหนักหน่วงจนทำให้แบรนด์นั้นเสียความน่าเชื่อถือและดูไม่จริงใจต่อผู้บริโภค
ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนตระหนักมากกว่าเมื่อก่อน และยังเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในยุคโควิด 19 ที่เป็นตัวจุดประกายค่านิยมเหล่านี้ ที่มีความเห็นอกเห็นใจ ใส่ใจ และ เปิดกว้าง มากกว่าในอดีต
อย่างที่เห็นได้ในประเด็นที่ผ่านๆ มา เช่น อย่างความเท่าเทียมทางเพศ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การที่ผู้บริโภคมีความจริงจังต่อค่านิยมเหล่านี้มากกว่าเมื่อก่อน จะส่งผลให้เมื่อเขาไม่เชื่อใจหรือแคลงใจในแบรนด์ต่างๆ
หากแบรนด์ที่ทำตัวไม่เหมาะสม จะเป็นเชื้อไฟนำไปสู่การเคลื่อนไหวของผู้บริโภคในการต่อต้านแบรนด์นั้น ซึ่งแบรนด์ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนในการรับมือ เพราะผู้บริโภคสามารถส่งผลลัพธ์ไปสู่การถูกบอยคอตและสูญเสียลูกค้าซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความอันตรายต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก
สิ่งที่ธุรกิจควรทำพร้อมกรณีศึกษา
การจะก้าวมาเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน ธุรกิจต้องสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้โดยสามารถแสดงออกและลงมือทำจริง ผ่านวิสัยทัศน์ ค่านิยม เป้าหมาย การสื่อสาร และกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร
เสริมแกร่งจุดยืนและค่านิยมของแบรนด์ด้วยลงมือทำจริง
แบรนด์เงินติดล้อ ที่ทำธุรกิจ Micro Finance มีความตั้งใจอยากให้ลูกค้าหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็น pain point ของกลุ่มเป้าหมายมาก รวมถึงการให้บริการที่เป็นธรรมอย่างจับต้องได้ แบรนด์จึงมีการทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อสร้าง Brand Do ไม่ใช่แค่ Brand Say เช่น การให้ความรู้ด้านการเงินและการปลดหนี้ การสร้างความเป็นธรรมในการให้บริการ
ปั้นแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่น่าประทับใจ แบรนด์ต้องมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งและน่าเชื่อถือที่สามารถทำให้เป็นจริงได้จะช่วยปั้นให้แบรนด์มีมูลค่าสูงขึ้นและแข็งแกร่งกว่าเดิม
กรณีศึกษา
เรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ Freitag มาจากการใช้วัสดุเหลือใช้ แบรนด์ Freitag มีที่มาจากพี่น้องชาวสวิสฯ สองคนที่ปรารถนาจะเปลี่ยนของเหลือให้เป็นสินค้าแฟชั่น กระเป๋าแฟชั่นของทางแบรนด์นั้นทำมาจากผ้าใบกันน้ำ เข็มขัดนิรภัยรถ ท่อจักรยาน ที่ใช้มาอย่างน้อยสามปี หากไม่ถึงสามปียังไม่ถือว่าเข้าเกณฑ์ เพราะแนวคิดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะคนเจนเนอเรชั่น millennial
เคสตัวอย่าง แพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Freitag’s S.W.A.P เป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งโดยไม่ต้องจ่ายเงินโดยการใช้ระบบจับคู่เหมือนทินเดอร์ที่ให้คนมีกระเป๋า Freitag ได้แลกกระเป๋ากันและกัน ระบบนี้ส่งเสริมให้ลดการสร้างขยะและยังยืดอายุการใช้งานของกระเป๋าซึ่งแนวคิดของระบบนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดหลักของตัวแบรนด์อีกด้วย
กิจกรรมฟื้นชีวิตให้แบรนด์ การสร้างแบรนด์ขึ้นใหม่และยังคงรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อทำให้ลูกค้ายังรักและรู้สึกดีอยู่
กรณีศึกษา
นันยางมีความคิดที่อยากจะสร้างความแตกต่าง จากสินค้ารองเท้าแตะที่เหมือนๆ กันทุกแบรนด์ เปลี่ยนเป็นแบรนด์ที่น่าหลงไหลและทันสมัย เห็นได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้
KHYA รองเท้าแตะที่ทำมาจากขยะจากท้องทะเลตัวสินค้ามีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนตระหนักถึงมลภาวะในท้องทะเลและประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่มีขยะในท้องทะเลเยอะเป็นอันดับ 6 ของโลก
ถุงไวนิลนันยาง กระเป๋า Freitag แบบฉบับคนไทยที่ทำมาจากไวนิลและวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตรองเท้า สินค้ามีจุดมุ่งหมายคือการสร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้
Key Take Away:
ไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องทำจริงด้วย หมดยุคที่แบรนด์สื่อสารแต่ไม่ได้ลงมือทำจริงในการสร้างคุณค่าให้ผู้ใช้ สังคม หรือ โลกใบนี้
ที่มา Marketeer