ในที่สุดรัฐวอชิงตันก็ไม่อาจออกกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นความล้มเหลวครั้งที่ 2 ในความพยายามออกกฎหมายนี้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรัฐ
ในครั้งแรก เมื่อปี 2016 รัฐวอชิงตันเคยพิจารณาร่างกฎหมายภาษีคาร์บอน ซึ่งในครั้งนั้นได้เสนอให้เก็บภาษีในอัตรา 20 ดอลล่าร์/ตันคาร์บอน แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาแห่งรัฐเนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องการใช้จ่ายเงินจากภาษีที่เก็บได้
ในครั้งนี้ (2018) แม้คณะกรรมาธิการชุด Ways and Means ของสภาแห่งรัฐวอชิงตันในสหรัฐฯจะผ่านร่างกฎหมายที่จะเก็บภาษีคาร์บอน แต่ก็ไม่มีเสียงสนับสนุนในสภาที่มากพอจะผ่านร่างกฎหมายนี้ได้
ทั้งนี้ ภายใต้ร่างกฎหมายภาษีคาร์บอนฉบับล่าสุด รัฐวอชิงตันจะเก็บภาษีคาร์บอนในอัตรา 12 ดอลล่าร์/ตันคาร์บอนจากการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ) ตั้งแต่ปี 2019-2020 จากนั้นตั้งแต่ปี 2021 จะเพิ่มภาษีคาร์บอนในอัตรา 1.8 ดอลล่าร์/ตันคาร์บอน/ปี ซึ่งในปี 2030 ภาษีคาร์บอนก็จะมีอัตรา 30 ดอลล่าร์/ตันคาร์บอน โดยคาดว่าในปีแรกทางรัฐวอชิงตันจะมีรายได้ 766 ล้านดอลล่าร์
สำหรับรายได้จากการจัดเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ข้อเสนอการเก็บภาษีคาร์บอนเมื่อ 2 ปีก่อนล้มเหลวไปนั้น ในครั้งนี้ทางรัฐได้แบ่งรายได้ดังกล่าวเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 50% จะใช้ในโครงการพลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรัฐ 30% ใช้ในการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยและแรงงานในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งจะได้รับผลกระทบจากภาษีนี้ และ 20% ใช้ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การจัดการไฟป่า การป้องกันน้ำท่วม การปลูกป่า อย่างไรก็ตาม ภาษีคาร์บอนนี้จะไม่เก็บจากธุรกิจการบินและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคเกษตรของรัฐวอชิงตัน