ความยั่งยืน สำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ ทำไมหลายบริษัทชั้นนำในประเทศถึงสนใจถึงขั้นทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่มาตรฐานความยั่งยืน ที่องค์การสหประชาชาติ เป็นหัวเรือใหญ่ในการชวนเชิญประเทศสมาชิกทั่วโลกมาร่วมมือกันกับแผนการพัฒนาโลกเพื่อความยั่งยืน
ในงาน "GCNT FORUM 2020: Thailand Business Leadership for SDGs" จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และผู้สนับสนุนของสมาคม
'ศุภชัย เจียรวนนท์' ในฐานะนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย หรือ GCNT กล่าวว่าขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์นอกเหนือจากโควิด-19 ทั้งทางด้านของความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ไปจนถึงระดับสังคมความเป็นอยู่ที่ดีของคนทั้งโลก ฉะนั้นถ้าภาคเอกชนประเทศไทยสามารถดำเนินธุรกิจตามหลัก 10 ประการ ของ UN Global Compact ซึ่งครอบคลุมเรื่องสิทธิมนุษยชนแรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านคอรัปชั่น จะทำให้เกิดความเข้มแข็งในการเชื่อมโยงเครือข่ายสมาคมเกี่ยวกับความยั่งยืน ในการที่จะแบ่งปันองค์ความรู้ วิธีการต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาประยุกต์ใช้เนื่องจากสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก มีจำนวนมากกว่า 60 สมาคมกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแต่ละสมาคมในแต่ละประเทศมีการประสานความร่วมมือกับภาคประชาสังคม และรัฐบาลของแต่ละประเทศ
จุดเริ่มต้นของความยั่งยืน
จุดเริ่มต้นสำคัญในมุมมองของศุภชัยคือ การสร้างความ 'ตระหนักรู้' ตลอดห่วงโซ่อุปทานของภาคธุรกิจเอกชน พร้อมไปกับการสร้างความ 'ตระหนักรู้' ของคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นผู้ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอนาคตควบคู่กันไป ขณะเดียวกันต้องช่วยกันประคับประคองธุรกิจและเศรษฐกิจหลังจากที่ได้รับผลกระทบจาก วิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการเลิกจ้างงานมากมายส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านการดำเนินชีวิตในคนจำนวนหลายล้านคน ตลอดจนเด็กนักเรียนที่จบใหม่ก็อาจจะหางานทำได้ยากเกิดความไม่มั่นคงในชีวิต
ฉะนั้นการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การแสดงความมั่นใจ การลงทุนอย่างต่อเนื่องของภาคเอกชนรวมทั้งความพยายามที่จะไม่เลิกจ้างพนักงาน (lay off) หรือมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ไม่ได้แค่ช่วยให้เรารอดเท่านั้น แต่ทำให้ทุกคนรอด ด้วยการระดมสรรพกำลังร่วมมือกับภาครัฐ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและรักษาความมั่นคงทางชีวิต
"เราต้องผนึกกำลังกัน ในมิติที่เสริมเพิ่มเติมเข้าไปอีก คงไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ตลอดไปจนถึงนานาประเทศทั่วโลก ก็คงมีภารกิจเช่นเดียวกันในการที่จะสร้างการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจตลอดจนการรักษางานและการสร้างงาน ถือโอกาสนี้ในการที่จะกลับมาได้ดีกว่าเดิมกลับมาได้แข็งแกร่งกว่าเดิม"
เพราะ ตราบใดที่ 'ไม่มี' การตระหนักรู้ ตราบใดยัง 'ไม่มี' การวางเป้าหมาย การทำงานกระจัดกระจาย ไม่มีพลัง ไม่สามารถที่จะสอดประสานและไม่สามารถเชื่อมโยงกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม ในระดับชุมชน ความยั่งยืนคงจะไม่เกิด ดังนั้นสิ่งที่เราตั้งใจจะทำทุกปีและก็ต่อเนื่องคือเราต้องสร้างความตระหนักรู้ (awareness)ไม่ใช่เฉพาะในหมู่ของสมาชิก แต่ว่าตลอดจนทั้งระบบห่วงโซ่อุปทานของสมาชิกทุกคนและการเข้าไปถึงคนรุ่นใหม่ในระดับที่เป็นประเทศ มหาวิทยาลัยตลอดจนไปถึงระดับของชุมชนให้มามีส่วนร่วม
เปิดเวทีลงมือทำ แชร์ความรู้
ศุภชัย กล่าวว่า แนวทางการทำงานคือการ 'เปิดโอกาส' ให้ทุกคนได้เสริมสร้างทักษะในการลงมือปฏิบัติจริง มีการแชร์องค์ความรู้ การมีส่วนร่วมในลักษณะของอาสาสมัครที่จะเกิดขึ้นได้นอกเหนือจากภาคฝ่ายเอกชนแล้วทุกๆ ภาคฝ่ายก็สามารถเข้าร่วมได้ ด้วยการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ให้คนได้ตระหนักรู้มากขึ้น เพราะเมื่อมีความตระหนักรู้แบ่งปันเป้าหมายกันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรก คือทุกภาคฝ่าย จะมีความระมัดระวังที่จะไม่ทำในสิ่งที่มีผลกระทบต่อความยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกภาคฝ่ายจะเริ่มมองว่า ตนจะเป็นผู้ที่จะช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไร เช่น กรณีของสมาชิก โกลบอลคอมแพ็ก ซึ่งแต่ละคนก็มีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง 'ไม่ใช่' แค่การปฏิบัติให้สอดคล้องเท่านั้น
"ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่คิดว่าการทำเรื่องความยั่งยืนเป็น 'ต้นทุน' เพิ่ม แต่ในข้อเท็จจริง หากลองมองในมุมใหม่ๆ คิดในรูปแบบใหม่ๆ มันอาจจะ 'ไม่ใช่' เป็นต้นทุนเพิ่ม หรืออาจมีต้นทุนเพิ่มเพียงเล็กน้อย แต่ได้ผลตอบแทนกลับมามหาศาล แต่ก่อนอื่นภาคธุรกิจต้องตระหนักรู้ก่อนว่า ต้นทุนที่เกิดจากการปฏิบัติอย่างไม่ยั่งยืนนั้นมีอยู่จริง อาจจะยังไม่สามารถจับต้องได้ในวันนี้ แต่ว่ามันเป็นต้นทุนย้อนกลับมา ทั้งในระบบสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ ทำให้ต้องมานั่งแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขยะ มลพิษ คนตกงาน ความเหลื่อมล้ำความอ่อนแอของระบบสังคม และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือเข้าสู่ความรุนแรง ถือเป็นต้นทุนทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราจะหันหลังให้มันนานแค่ไหน หรือเราจะมองเห็นมัน อันนี้เป็นความตระหนักรู้ที่สำคัญของเอกชนทุกภาคส่วน"
สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ช่วยลดต้นทุน
ถ้าองค์กรมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Innovate) พนักงานและผู้บริหารสามารถเป็นคนสร้างนวัตกรรม โดย 'ไม่มี' ต้นทุนและทำให้ต้นทุนในระยะกลาง ระยะยาว 'ลดลง' เช่น กรณีของพลังงานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันต้นทุนเหล่านี้ต่ำลง ถึงกระทั่งคุ้มทุน และทำให้ลดต้นทุน ขณะเดียวกันก็ช่วย 'ลด' ภาวะก๊าซเรือนกระจกของประเทศไปด้วย หรือการใช้เครื่องยนต์เครื่องจักรที่เป็นพลังงานไฟฟ้า อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เรียกว่า EV (Electric Vehicle) เริ่มมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นซึ่งมันมีความคุ้มทุนอยู่แล้ว แล้วก็ลดมลภาวะไปด้วย เพียงแต่ว่าเอกชนจะสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วแค่ไหน ส่วนในระบบห่วงโซ่อุปทาน ควรที่จะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
ส่วนการพัฒนาชุมชนก็สามารถลดขั้นตอนจากคนกลางได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีต้นทุน เป็นการสร้างสรรค์กระบวนการใหม่ หรือนวัตกรรมที่สามารถทำให้ทุกฝ่ายดีขึ้นได้
"ถ้าเราคิดว่ามันต้องมีผู้ชนะ และผู้แพ้ ทำยากและมีต้นทุนสูง แต่ถ้าเรามีความคิดว่า เราสามารถใช้ทุนทางสติปัญญา และเป้าหมายของแต่ละองค์กร โดยอาศัยทุนทางปัญญาของผู้บริหารและพนักงานของตนเองผสมผสานสิ่งเหล่านี้เข้าไปดำเนินธุรกิจจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน"
ศุภชัย ระบุว่า จากประสบการณ์เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า การสร้างความยั่งยืน นอกจากจะไม่เพิ่มต้นทุนแล้วในระยะกลาง และระยะยาว ยังเป็นการ 'ลด' ต้นทุนทั้งต้นทุนทางตรง และต้นทุนทางอ้อมที่มีผลกระทบต่อระบบสังคม เศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถวัดได้อย่างชัดเจน ก็สามารถลดไปได้พร้อมกัน
"ตามหลักศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า การเชื่อว่ามีชาติหน้ามันไม่ได้มีผลเสียเลย แต่จริงๆ เป็นการให้เราปฏิบัติตัวได้ถูกต้องในชาตินี้ ซึ่งผลประโยชน์เกิดขึ้นทันที เราคงไม่ต้องไปคิดว่ากลายเป็นกำไรได้อย่างไร แต่แน่นอน การทำธุรกิจจะต้องยังคงมีกำไร ตอบสนองความต้องการของตลาด แต่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนก็ยังคงต้องทำควบคู่ไป สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าต้องเกิดขึ้นจากความตระหนักรู้ ซึ่งเราสามารถทำได้ มนุษย์เรามีศักยภาพที่มากพอ ที่จะทำทั้ง 2 สิ่งนี้ควบคู่กันไปได้ ทั้งตอบสนองความต้องการตลาด ยังคงมีผลกำไรที่เหมาะสม และเสริมสร้างเรื่องของความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างมีนวัตกรรม"
ชงตลาดหลักทรัพย์ใช้กลไกกระตุ้น
ศุภชัย มองว่า ตลาดหลักทรัพย์จะมีส่วนสำคัญมากในการผลักดันเรื่องของความยั่งยืน เพราะ ถ้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก เริ่มมีการให้ทำรายงานเป้าหมายในเรื่องความยั่งยืน Zero Waste, Zero Carbon ไปไกลกว่านั้นอีก Zero Hunger และ Zero Poverty ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นมาตราวัดที่สำคัญที่ทำให้คนเริ่มมองไปในจุดเดียวกัน และเริ่มจะสร้างนวัตกรรมและแข่งขันกันในเชิงการทำรายงานเพื่อความยั่งยืน
"ผมเชื่อว่าจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญได้อย่างรวดเร็ว เราจะเห็นนวัตกรรมทำให้ธุรกิจมีต้นทุนลดลงและผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน"
จากที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล(governance) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของความยั่งยืน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนด้านสังคม แต่อาจจะยัง 'ขาด' หรืออาจจะยังไม่ชัดเจนในส่วนของเรื่องสิ่งแวดล้อม และอาจจะยังไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับโลกร่วมกัน ในการส่งเสริมสนับสนุนให้กับบริษัทต่างๆ ทำรายงานด้านความยั่งยืน แทนที่จะเป็นบัญชีทางด้านการเงินอย่างเดียว
สร้างระบบนิเวศขับเคลื่อนความยั่งยืน
โดยในปีนี้ สมาคมโกลบอล คอมแพ็กได้วางแนวทางไว้ว่าสิ้นปีนี้สมาชิกจากเดิม 45 ตอนนี้ 60 จะเพิ่มไปได้ถึง 200 ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้นที่วางไว้ในสิ้นปีนี้และก็ยังมองว่าจำนวนของคนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วม เป็นในลักษณะของอาสาสมัคร ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หรือผู้นำรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม กับโกลบอลคอมแพ็ก
"ฝั่งหนึ่งเราพยายามจะสร้างสมาชิก อีกฝั่งหนึ่งก็ใช้กำลังของคนรุ่นใหม่ สร้างความตระหนักรู้ด้วยการทำกิจกรรมผ่าน Action based learning กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งสองทางเป็นสิ่งที่เราตั้งใจที่จะทำอย่างต่อเนื่องมีกิจกรรมทุกอาทิตย์ให้กับคนรุ่นใหม่และอาสาสมัครต่างๆ ที่มีความสนใจในเรื่องนี้"
ในภาคการศึกษาจะมีส่วนร่วมได้ภายใต้โมเดลที่เรียกว่า 'Learning Center' ซึ่งอยากจะให้มีทุกโรงเรียน ที่ได้ทดสอบก็มีอยู่ประมาณ 100 โรงเรียน เป็นลักษณะของ Action based learning เป็นกิจกรรมของแต่ละช่วงอายุวัย แต่เป็นกิจกรรมที่ทำอยู่บน 3 ขาหลักได้แก่ 1.เศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องรู้จักทำมาหากิน บทบาท อาชีพ การมีวินัยในด้านเศรษฐกิจ 2.สังคม เพราะปัญหาทางสังคมไม่ว่าจะเป็นระดับห้องเรียน สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ไปจนถึงกระทั่งสังคมในชุมชน ได้เข้าไปบริการสาธารณะ (Public Service) และ 3.สิ่งแวดล้อม เด็กต้องมองเห็นสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร สาธารณสุขเป็นอย่างไร การปลูกต้นไม้ในโรงเรียน ชุมชน มลภาวะความเป็นพิษของแหล่งน้ำในชุมชน ได้ไปเรียนรู้ ได้ทำกิจกรรม ทำรายงาน วิเคราะห์ ได้ดีเบตถึงปัญหา เพื่อเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนในอนาคต
ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ