• หน้าแรก
  • คุยกับ CP
  • ข่าวเศรษฐกิจ - ธุรกิจ
  • CP เพื่อสังคมที่ยั่งยืน
  • ข้อเท็จจริง CP
  • แวดวง CP
  • เปิดหน้าต่างมองโลก
  • วิดีโอ
  • วารสารบัวบาน
  • ติดต่อเรา

มังกรจะเติบโตอย่างไร ในปี 2020 (ตอนจบ)


โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

08 มกราคม 2563

จีนมีไม้เด็ดอะไรเหลืออยู่

โดยที่จีนยังจัดเป็นประเทศที่มีอัตราการออมสูง และสัดส่วนของสินทรัพย์ก็อยู่ในมือของภาครัฐอยู่มาก รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่อยู่ในระดับที่สูง ขณะเดียวกันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในห้วงที่ผ่านมาก็ถือว่ายังคงเปี่ยมด้วยพลัง เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเศรษฐกิจจีนมีบทบาทต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ค่อนข้างสูง หลายฝ่ายจึงเห็นว่า รัฐบาลจีนยังมีพื้นที่ให้สามารถขยับขยายมาตรการด้านการเงินการคลังได้ในอีกระดับหนึ่ง

โดยในชั้นนี้ ที่ประชุม CEWC เสนอว่า รัฐบาลจีนสามารถกำหนดมาตรการการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณต่อสัดส่วนจีดีพีจาก 2.8% ในปี 2019 เป็น 3.0% ในปี 2020 โดยไม่ทำให้วินัยทางการเงินการคลังเสียหาย ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังจีนก็พร้อมจะปรับลดการเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมลงได้อีกอย่างน้อย 2.3 ล้านล้านหยวน และก็ประกาศเพิ่มโควตาและเร่งออกพันธบัตรพิเศษสำหรับกองทุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจีน และขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในปีหน้า

ประเด็นหลังนี้ดูจะได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่ายที่มองว่า รัฐบาลจีนควรปรับแนวทางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังจากการลดภาษีไปสู่การเพิ่มการลงทุน ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้รัฐบาลจีนกำกับและควบคุมการขยายตัวของหนี้สินรัฐบาลท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปด้วย ซึ่งเราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้สัดส่วนของหนี้สินต่อจีดีพีจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในปีหน้า

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังมุ่งหวังที่จะปรับโครงสร้างให้เศรษฐกิจเติบโตบนพื้นฐานของการบริโภคมากขึ้น ในปี 2019 เราจึงเห็นการดำเนินมาตรการด้านการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ การลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และการเพิ่มวงเงินการปล่อยสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจีนจะมีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสูงเมื่อเทียบกับของประเทศอื่น และสถาบันการเงินขนาดใหญ่ล้วนเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่การดำเนินมาตรการด้านการเงินที่ผ่านมาก็ดูจะกลายเป็นชนักติดหลังที่ทำให้จีนอาจไม่สามารถขยับขยายมาตรการเหล่านี้ได้มากนักในปีหน้า เพราะหากปัญหาเศรษฐกิจและอื่นๆ รุมเร้าและลากยาวมากขึ้น ก็อาจทำให้ปัญหาฟองสบู่หวนกลับมา และหนี้เสียขยายวงกว้าง ซึ่งจะลดระดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจจีน และอาจส่งผลเสียต่อเส้นทางการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจแห่งการบริโภคของจีนในระยะยาวได้

อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลจีนควรจับตามองอย่างใกล้ชิดก็คือ ประสิทธิภาพการลงทุนที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปี 2019 จนหลายฝ่ายกังวลใจกับตัวเลขอัตราการว่างงานที่อาจขยายวงในปีหน้า ทำเอาท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ต้องออกมานั่งหัวโต๊ะเพิ่มการจ้างงานด้วยตนเอง โชคดีที่ภาคอุตสาหกรรมของจีนส่งสัญญาณการพลิกฟื้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2019

และอีกส่วนสำคัญเกิดขึ้นจากความสำเร็จของจีนในการปรับโครงสร้างและยกระดับฝีมือแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคบริการ ทำให้ตัวเลขอัตราการว่างงานดีขึ้นมาก และไม่กดดันเชิงลบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคในช่วงต้อนรับปีใหม่ อย่างไรก็ดี ประเด็นการจ้างงานก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรจับตามองอย่างใกล้ชิดตลอดปี 2020

 

ทางเลือกหากสถานการณ์ไม่เป็นใจ

ท่ามกลางระดับความท้าทายและแรงกดดันจากภายนอกที่เพิ่มขึ้น ปี 2020 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่ลดลง แต่ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะยํ่าแย่เพียงใด ผมก็ยังประเมินว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่เศรษฐกิจจีนจะหนักหนาสาหัสอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในห้วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 ดังนั้นเรื่องเศรษฐกิจจีน “ดิ่งหัว” จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงในปีหน้า

ประเด็นสำคัญก็คือ รัฐบาลจีนจะทำอย่างไรหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเครื่องยนต์เศรษฐกิจจีนไม่อาจเดินได้เต็มสูบอย่างที่คาดหวังไว้ในปี 2020 ผมประเมินว่า หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยํ่าแย่หนัก รัฐบาลจีนจะ “กัดฟัน” งัดเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ออกมาใช้อีกครั้ง

แต่หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับที่คาดการณ์ไว้ ผมก็คิดว่ารัฐบาลจีนพร้อมจะยอม “กลืนเลือด” ไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบตามที่วางแผนไว้ และอาจยอมให้เศรษฐกิจจีนเติบโตตํ่ากว่าเป้าหมายที่อัตรา 6% เมื่อเทียบกับของปีก่อน แทนที่จะเลือกออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่เพิ่มเติมผ่านมิติอื่นอย่างเช่นที่เคยทำในหลายปีที่ผ่านมา

ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษหลังนี้ทำให้เศรษฐกิจเติบใหญ่และมีความพร้อมในปัจจุบัน จีนไม่จำเป็นต้องดิ้นรนผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในเชิงปริมาณดั่งเช่นในอดีต และหากเราพิจารณาถึงความกล้า ความทรหด และประสบการณ์ในการผ่านร้อนผ่านหนาวในช่วงหลายปีหลังนี้ จีนก็ควรเลือกที่จะเดินหน้าปฏิรูปเชิงลึกและรักษา “ความนิ่ง” ทางเศรษฐกิจเอาไว้เพื่อเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาว

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ตัวเลข 6% ในปี 2020 จึงเป็นเพียงเป้าหมายแบบยืดหยุ่น ขณะที่ “การเติบโตในเชิงคุณภาพ” และ “การรักษาเสถียรภาพ” จะเป็นคีย์เวิร์ดที่กำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจจีนที่กำลังจะมาถึง เข้าทำนองว่า “หลุดเป้าได้ แต่ต้องไม่เป๋” ซึ่งหากดูจากตัวเลขที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันแล้ว ผมก็ประเมินว่ารัฐบาลจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายหลักดังกล่าว และเดินหน้าสู่แผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 14 (2021-2015) ได้อย่างสง่างาม

 

ไทยเราควรรับมืออย่างไร

จริงอยู่ว่า แต่ละประเทศล้วนมีสภาพปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน แนวทางและกลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศจึงไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว ดังนั้นเราจึงไม่ควรลอกโมเดลแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมาเป็นต้นแบบ และไทยก็ไม่อาจกำหนดเป้าหมายและแนวทางการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าได้โดยไม่แยแสแรงกดดันจากภายนอก เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือนทะเลน้อย ไม่ได้ใหญ่ดั่งมหาสมุทร ไม่ได้มีทรัพยากรที่เพียบพร้อมเช่นเดียวกับจีน แถมเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใช้มานานก็ติดๆ ดับๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ความเร็วและพลังแฝงของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงทุกขณะ

เรามีฐานนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคภายในประเทศที่เล็กมากเมื่อเทียบกับของจีน ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในเวทีระหว่างประเทศก็ถดถอยลง สินค้าเกษตรและแปรรูปของไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ และสินค้าอุตสาหกรรมก็หาแบรนด์แข็งแกร่งได้ยาก มาถึงวันนี้ เราก็ยังไม่เห็นสัญญาณเชิงบวกของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก ซึ่งก็ยิ่งทำให้การเพิ่มมูลค่าการส่งออกในปีหน้าดูจะอยู่บนเส้นทางที่มืดมน

นอกจากนี้ เราก็ไม่ได้มีดอกเบี้ยอ้างอิงที่สูงพอให้แบงก์ชาติปรับลดได้มากนักในอนาคต และแม้ว่าเราจะลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงก็ไม่อาจช่วยกระตุ้นการลงทุนหรือส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ เพราะนักลงทุนต่างสูญเสียระดับความมั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต จนกำลังเข้าสู่โหมด “ถึงลด(ดอกเบี้ย) ก็ไม่ลง(ทุน)” และในทางกลับกันก็อาจส่งผลให้กำลังซื้ออ่อนแอลงไปอีก 

โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นฐานการบริโภคสำคัญของไทยในปัจจุบัน กลุ่มเหล่านี้พึ่งพารายได้หลักจากดอกเบี้ยเงินฝาก เงินปันผล และราคาหุ้นและกองทุนที่ชะลอตัวลงมากในช่วงปีนี้ ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะกระทบต่อไปยังภาคการบริโภคภายในประเทศและเศรษฐกิจมหภาคในที่สุด

ขณะเดียวกัน การตั้งคณะกรรมการโน่นนี่มากมายเพื่อขายฝันลมๆ แล้งๆ ในห้องประชุม สนับสนุนส่งเสริมให้คนไทยเสพติดกับ “ประชานิยม” และวนเวียนอยู่ในโหมด “พักผ่อน” กับสารพัดเทศกาลและวันหยุดยาวก็ไม่น่าจะใช่แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมเช่นกัน แม้กระทั่งการพัฒนาสตาร์ตอัพเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ในอนาคตก็ดูจะยังจุดไม่ติด 

ผมเป็นคนรุ่นเก่าที่เชื่อว่า หากต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราต้องแสวงหาและให้โอกาสแก่คนที่มีพรสวรรค์ และเก่งคิดค้นนวัตกรรม โมเดลธุรกิจ และโครงการดี ๆ รวมทั้งพร้อมที่จะลงมือทำงานหนักในเวทีเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเราจะมีองค์ประกอบเหล่านั้นอยู่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นในปัจจุบัน

การเรียนลัดจากแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนและประเทศอื่น และนำมาปรับใช้กับของไทยน่าจะเป็นแนวทางที่ดีสุดในสถานการณ์ที่เราต้องแข่งกับเวลา 

ประการสำคัญผมคิดว่าปี 2020 อาจเป็นนิมิตหมายอันดีที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนควรหันหน้าเข้าหากันอย่างจริงจัง ร่วมกายใจ ถลกแขนเสื้อ และยอมเปื้อนโคลนลงมือแก้ปัญหาอย่างถูกจุด เป็นระบบ และเกิดเป็นรูปธรรม เพื่อพลิกฟื้นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กลับมาสูงขึ้นและมีเสถียรภาพอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดียิ่งสำหรับพี่น้องชาวไทย


ที่มา - คอลัมน์มังกรกระพือปีก ฐานเศรษฐกิจ 

ข่าวยอดนิยม

เครือเจริญโภคภัณฑ์บริษัทข้ามชาติแห่งแรกในจีนจดทะเบียนการค้าหมายเลข 000...

17 พฤษภาคม 2560
26576

การบริหารงานบุคคลของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในยุค 4.0...

08 พฤศจิกายน 2560
21872

โครงการเลี้ยงไก่ไข่อาหารกลางวันนักเรียน การ “ให้” อย่างมีคุณค่า ทั้งด้...

03 กรกฎาคม 2558
20471

Cage Free Eggs ไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของผู้บริโภ...

18 กรกฎาคม 2562
12442

แชร์ข่าวสาร

แบตเตอรี่ราคาถูก จะนำไปสู่ดิสรับชั่นด้านพลังงาน?... ท่านประธานอาวุโส“ธนินท์ เจียรวนนท์”วิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจไท...

ข่าวที่น่าสนใจ

อ่านข่าวทั้งหมด อ่านข่าวทั้งหมด

“มาริษา เจียรวนนท์” บนเส้นทางรังสรรค์ อาหารเพื่อสังคม ผ่านมูลนิธิ CHEF...

23 พฤศจิกายน 2564
3786

สูตรรอด 'CPF' อยู่ร่วมโควิด กระจายความเสี่ยง 47 ประเทศ...

30 สิงหาคม 2564
3529

ทำความรู้จัก “สบขุ่นโมเดล”: CP ร่วมพัฒนา พลิกเขาหัวโล้นให้กลายเป็นผืนป...

13 กรกฎาคม 2564
4297

CP ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อน Social Enterprise ผู้นำหญิงนักพัฒนา ก้าวสู่ชุมช...

07 กรกฎาคม 2564
4174

เครือเจริญโภคภัณฑ์
Copyright 2016.
Privacy Policy | Rules & Regulations

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

  • ความรู้คู่คุณธรรม: www.truepookpanya.com
  • CP-Enews ปี 2013: news.cpfworldwide.com
  • CP-Enews ปี 2012: www.cpthailand.com/enews

ติดต่อเรา

สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เลขที่ 18 อาคาร ทรู ทาวเวอร์ ชั้น 25 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

  • โทรศัพท์ : 02-858-6286 / 02-858-2564 / 02-858-3721-2
  • โทรสาร : 02-858-3726
  • อีเมล์ : prcpgroup@cp.co.th