• หน้าแรก
  • คุยกับ CP
  • ข่าวเศรษฐกิจ - ธุรกิจ
  • CP เพื่อสังคมที่ยั่งยืน
  • ข้อเท็จจริง CP
  • แวดวง CP
  • เปิดหน้าต่างมองโลก
  • วิดีโอ
  • วารสารบัวบาน
  • ติดต่อเรา

“มหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่สอนหนังสือ แต่เรามีหน้าที่พัฒนาคน”


โดย อาจารย์พรวิทย์ พัชรินทร์ตนะกุล

21 พฤศจิกายน 2562

 

วิธีการเรียนแบบ Work-Based Learning (WBL) หรือการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง  ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการศึกษาที่เหมาะสมกับยุคสมัย เพราะสามารถตอบโจทย์ทั้งการได้รับความรู้จากภาคทฤษฎี ทั้งการได้รับประสบการณ์และพัฒนาทักษะการทำงานในภาคปฏิบัติ ส่งผลให้ผู้เรียนมีความพร้อมทำงานทันทีอย่างมืออาชีพ และยังถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ปัญหาเด็กจบออกมาแล้วไม่มีงานทำได้เป็นอย่างดี 

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ PIM ก่อตั้งโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)เป็น Corporate University หรือมหาวิทยาลัยแห่งองค์กรธุรกิจเต็มรูปแบบแห่งแรกของเมืองไทย และถือเป็นต้นแบบของ Work-Based Education ที่ผสมผสานระหว่างความรู้ในเชิงวิชาการกับภาคปฏิบัติเพื่อให้นักศึกษาของสถาบันทุกคนได้มีประสบการณ์ในการทำงานตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา เพื่อเป็นกำลังหลักของสังคมต่อไปในอนาคต 

อาจารย์พรวิทย์ พัชรินทร์ตนะกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ผู้มีความเชื่อเต็มหัวใจในเรื่องของการ ‘Learning by Doing’ รับหน้าที่ฉายภาพให้เข้าใจถึงรูปแบบการเรียนรู้  Work-Based Education ที่กลายมาเป็นหลักสูตรเฉพาะของสถาบัน พร้อมเล่าถึงผลสำเร็จที่น่าชื่นใจ

 

เริ่มต้นที่คำจำกัดความ - ‘Work-Based Education’ 

“ต้องเริ่มต้นที่หน้าที่ในฐานะของมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ใช่แค่การสอนหนังสือ แต่เรามีหน้าที่พัฒนาคน ถ้าตั้งหลักที่คำนี้ได้ก็จะถอยกลับมามองว่า  แล้วต้องพัฒนาอะไร  ด้วยวิธีไหน ทำยังไงให้เขาเก่งขึ้น ผมเรียกทั้งหมดว่า 3 ทักษะจำเป็น หนึ่งคือทักษะอาชีพ (Professional Skill) คนที่โตขึ้นเขาต้องทำมาหากิน เพราะฉะนั้นเขาต้องมีทักษะวิชาชีพติดตัว ส่วนทักษะทางสังคม (Social Skill) คนเราไม่ได้อยู่คนเดียว เวลาทำงานต้องสื่อสารกับผู้คน ทำงานเป็นทีมได้ เข้าใจและเห็นใจคนอื่น มีจิตสาธารณะ ฯลฯ และสุดท้ายทักษะชีวิต (Life Skill) คือจัดการกับตัวเอง เราจะเห็นว่าคนทำงานในเมืองไทยจำนวนมากมักมี 2 ปัญหา หนึ่งเรื่องการเงิน เป็นหนี้เป็นสิน เงินไม่พอใช้ แต่ที่จริงแล้วใช้ไม่เป็นมากกว่า อันที่ 2 เรื่องสุขภาพ เมืองไทยเป็นหนึ่งในจำนวนหลายประเทศในโลกนี้ที่คนเป็นเบาหวานความดันตั้งแต่อายุน้อยๆ คือเรียนสูงเลยนะ แต่กินอะไรไม่รู้ ไม่ดูแลตัวเองกัน ซึ่งการจะสอนให้เขาเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ ก็มีผลวิจัยจากอเมริการายงานว่า การทำให้คนเรียนรู้อะไรบางอย่างสามารถทำได้หลายแบบ แต่ประมาณ 70-75% ของการเรียนรู้ได้ดีที่สุดมาจากการสอนเรียน On the Job  เพราะเด็กได้เห็นโลกแห่งความเป็นจริง ก็เลยเกิดโปรแกรมนี้ขึ้นมา

“เพราะฉะนั้นคำว่า Work-Based ก็คือการหาความรู้จากประสบการณ์งานที่ทำโดยมีแบ็กอัพจากมหาวิทยาลัยที่สามารถทำให้เด็กเข้าใจได้ว่าทั้งหมดที่เราได้ฟัง ดู อ่านหนังสือมา ในที่สุดเราก็จะไปเจออยู่ที่ทำงาน หรือในทางกลับกันเขาไปเห็นสิ่งนั้นมาก่อน แล้วพอกลับไปที่ห้องเรียน ก็มีอาจารย์มาเล็กเชอร์สรุปให้ฟัง กลายเป็นการสังเคราะห์ความรู้กลับเข้ามาสู่เด็ก”

 

จากแนวคิด Work-Based Education สู่การออกแบบหลักสูตร

“ในส่วนของ PIM พูดได้ว่าเราเป็นสถานศึกษาแนว Work-Based Education แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งแบ่งส่วนเป็นการเรียนรู้แบบ Work-Based Learning โดยใช้ฐานการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ออกไปทำงาน  Work-Based Teaching เพราะคนเป็นครูก็ต้องปรับตัว  ต้องรู้ว่าข้างนอกเขาทำงานกันยังไง ที่ยากเพราะว่าในชีวิตจริงครูบางท่านก็ไม่ได้ผ่านการทำงานกับองค์กร เราก็เลยต้องให้ครูได้เรียนรู้งานจริง โดยเรามีกฎไม่ว่าคุณจะอยู่แผนกไหนในเครือ CP All รวมถึงครู คุณต้องลงไปดูงานร้าน 7-Eleven 1 สัปดาห์เพื่อสร้างความกระตือรือร้น ตื่นตัวตลอดเวลา จากนั้นก็ลิงก์ไปกับส่วนที่ 3 Work-Based Researching คือเราจะได้ยินว่าการวิจัยเป็นวิธีทางที่ดีอย่างหนึ่งในการหาองค์ความรู้ใหม่ๆ แต่ที่เคยทำกันมาคือวิจัยโดยไม่เคยคิดว่าคนสุดท้ายที่เอาไปใช้คือใคร กลายเป็นวิจัยแล้วขึ้นหิ้ง แต่หลักสูตรของเรา โจทย์ในการทำวิจัยจึงต้องเป็นการทำงานใกล้ชิดระหว่างสถาบันกับองค์กรธุรกิจ เวลาเราจะสนับสนุนทุนต้องดูว่าโครงการวิจัยที่อยากทำนี่มีคนอยากได้ไปใช้งานหรือเปล่า เพื่อที่จะทำแล้วได้นำไปใช้จริง

“และโชคดีที่ PIM เป็นสถาบันในเครือบริษัทที่ไม่ได้มีสังกัดเพียงแค่ CP All หรือเครือ CP Group เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของอีกคำหนึ่งคือ Networking  University โดยเรามีเครือข่ายทั้ง International กับ Local ใครก็ตามที่เป็นเครือข่ายธุรกิจที่เป็นพาร์ตเนอร์ชิป ไม่ว่าจะเป็นการธุรกิจ สายการบิน ภัตตาคาร แม้กระทั่งบริษัทที่ทำหุ่นยนต์ ก็ถือเป็นมหาวิทยาลัยของเขาได้ด้วย ถ้าเขามีความต้องการอะไร เราเข้าไปศึกษาวิจัยให้ได้ โดยให้คนของบริษัทนั้นที่มีประสบการณ์เข้ามาสอนเด็กเรา ส่วนงานวิจัยก็นำกลับไปใช้ในธุรกิจตัวเองได้” 

 

“เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้

เพียงแต่ว่าเราอย่าใช้วิธีพูดอัดเข้าไปในหัว

เพราะแค่นั้นไม่พอ เด็กต้องเข้าไปอยู่ในวงการนั้นตั้งแต่ต้น

แล้วก็เรียนจากสิ่งที่ตัวเองทำ”

 

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของ Work-Based Education

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2550 เปิดสอนระดับปริญญาตรี โท และเอก รวมเวลา 13 ปี ผลิตบัณฑิตจบออกมาแล้ว 9 รุ่น เป็นจำนวนประมาณ 10,000 คน ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 19,000 คน โดยนักศึกษาจะเรียนและทำงานสลับกันไปครั้งละ 3 เดือน เป็นเวลา 4 ปี โดยหน่วยกิตจากการทำงาน คิดเป็น 15-20% และเวลาที่ทำงานจริงคิดเป็น 40-50% ของหลักสูตร นักศึกษาเกือบทั้งหมดจบออกมาแล้วมีงานทำทันที  

“หลักสูตรแรกที่เกิดขึ้นคือค้าปลีก (คณะบริหารธุรกิจ) ปีแรกมีนักศึกษาอยู่ 300 กว่าคน  มีพนักงานเครือ CP ALL เข้ามาเรียนด้วย แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปีที่ 13 เปิดสอนปีแรกนี่พอถึงเวลาเด็กต้องออกไปฝึกงาน กลับมาลาออกตูมเดียว 30% (ยิ้ม) เพราะเขาเหนื่อย กลับบ้านไปร้องไห้ แม่เลยมาขอลาออก กลายเป็นบทเรียนที่เราต้องพัฒนา โดยตอนแรกๆ ก็จัดให้มีอาจารย์พี่เลี้ยงพูดจาปลอบประโลมเวลาเด็กเริ่มออกไปทำงาน 

“กระทั่งเวลาผ่านไปสัก 1-2 ปี เวลาปฐมนิเทศเราก็เชิญผู้ปกครองมาเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง แล้วลูกเขาเปลี่ยนไปยังไง  มีผู้ปกครองคนหนึ่งเป็นพี่สาวขึ้นเวทีเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านมีน้องเป็นลูกชายคนเดียว ถูกส่งมาเรียนที่ PIM ปรากฏว่าหลังจากนั้นกลับไปบ้าน ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่อยู่ที่โคราช  น้องชายลุกมาเช็ดกระจกหน้าร้าน ช่วยงานบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกงานที่ร้าน 7-Eleven ดังนั้น จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีศักยภาพ แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เขาได้แสดงออกหรือเปล่า   

“คือทุกหลักสูตรของ PIM ระบุให้ต้องไปลงฝึกงานร้าน 7-Eleven อย่างน้อย 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ต้องทำทุกอย่างเหมือนพนักงานทำกัน ซึ่งทำให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาเรื่องหนึ่งว่าการฝึกแบบนี้ทำให้อีโก้ (Ego) หายไป เพราะเด็กได้เรียนรู้เองว่าถ้าพูดจาดีๆ กับลูกค้าแล้วมีคนชอบ ขายของได้ หรืออย่างเรื่องค่าของเงินนี่เราไม่มีทางเห็นจนกว่าจะไปเจอเอง เพราะร้าน 7-Eleven นี่ต้องยืน 8 ชั่วโมงนะครับ ถึงจะได้เงินชั่วโมงละ 30-40 บาท วันละ 200-300 บาท เด็กก็เห็นค่าของเงิน นิสัยการใช้เงินเปลี่ยนเอง เด็กจะถูกฝึก Social Skill ต่างๆ จนเกิดความเคยชิน ในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนนิสัยได้ และพวกนี้เราประเมินเป็นคะแนนได้หมดจากพฤติกรรม  

“ปัจจัยความสำเร็จคือต้องทำให้ผู้ปกครองเชื่อว่าการสอนคนโดยวิธีประคบประหงมอย่างเดียวมันไม่สำเร็จ ต้องให้คนเจอปัญหาเอง  และมีพี่เลี้ยงคอยแนะนำอยู่ห่างๆ ต้องใช้เวลาเพื่อรอให้เห็นผล  ซึ่งผลงานที่ผ่านมาค่อนข้างพิสูจน์ว่าวิธีการแบบนี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้ว่าเด็กมีความพร้อมที่จะไปทำงานหากได้ฝึกฝนตั้งแต่เด็ก เพราะไม่ว่าจะเลือกทำตอนอายุ 18 กับทำตอน 22 ยังไงก็ต้องมีวันแรก  แต่การเริ่มวันแรกตอนอายุ 18  ซึ่งอายุยังน้อย ยังมีครูดูแลอยู่ก็น่าจะดีกว่า ที่สำคัญจุดเด่นของ Work-Based Education คือเรียนจบแล้วมีงานทำทันที  เพราะการฝึกตั้งแต่ยังเรียนทำให้เด็กมีทักษะพร้อมในการทำงาน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยต่อรุ่น เด็กของเราจบออกไปแล้วมีงานทำเกือบ 100%   

“สำหรับเป้าหมายต่อไปในการอบรมเด็ก  เราจะสร้างความเป็นนักสร้างนวัตกรรมภายในตัวเขา  แปลว่ายุคต่อไปเด็กที่จบทุกคนต้องคิดอะไรใหม่ๆ เป็น เพื่อที่จะโชว์ฝีมือว่าวันหนึ่งข้างหน้าเด็กเหล่านี้จะเป็นผู้นำองค์กรได้ และอีกสิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเกิดก็คือ เด็กพร้อมที่จะทำงานได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งปลอบประโลมอะไรอีกแล้ว ซึ่งตอนนี้แนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะกระแสบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดพ่อแม่ผู้ปกครองยอมรับและเข้าใจรูปแบบการเรียนแล้ว”    

 

Work-Based Education กับความยั่งยืน

“เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ เพียงแต่ว่าเราอย่าใช้วิธีพูดอัดเข้าไปในหัว เพราะแค่นั้นไม่พอ เด็กต้องเข้าไปอยู่ในวงการนั้นตั้งแต่ต้น แล้วก็เรียนจากสิ่งที่ตัวเองทำ จากนั้นครูกลับมาสรุปภาพมุมกว้างให้ฟัง ครูจะช่วยลิงก์ให้มองภาพรวมได้ ในที่สุดก็ประยุกต์สิ่งที่เขาเจอได้ เพราะว่าทำเองมากับมือ ดังนั้น ถ้าจะพัฒนาการศึกษาไทยให้ยั่งยืน เราก็ต้องฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง”

 

อ้างอิงจาก : วารสารบัวบาน ฉบับที่ 11 

ข่าวยอดนิยม

เครือเจริญโภคภัณฑ์บริษัทข้ามชาติแห่งแรกในจีนจดทะเบียนการค้าหมายเลข 000...

17 พฤษภาคม 2560
26576

การบริหารงานบุคคลของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในยุค 4.0...

08 พฤศจิกายน 2560
21872

โครงการเลี้ยงไก่ไข่อาหารกลางวันนักเรียน การ “ให้” อย่างมีคุณค่า ทั้งด้...

03 กรกฎาคม 2558
20471

Cage Free Eggs ไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของผู้บริโภ...

18 กรกฎาคม 2562
12442

แชร์ข่าวสาร

ซีอีโอเครือซีพี แสดงวิสัยทัศน์เวที AEC Business Forum 2019 เ... “ผมเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยเปลี่ยนโลกได้”...

ข่าวที่น่าสนใจ

อ่านข่าวทั้งหมด อ่านข่าวทั้งหมด

“มาริษา เจียรวนนท์” บนเส้นทางรังสรรค์ อาหารเพื่อสังคม ผ่านมูลนิธิ CHEF...

23 พฤศจิกายน 2564
3787

สูตรรอด 'CPF' อยู่ร่วมโควิด กระจายความเสี่ยง 47 ประเทศ...

30 สิงหาคม 2564
3530

ทำความรู้จัก “สบขุ่นโมเดล”: CP ร่วมพัฒนา พลิกเขาหัวโล้นให้กลายเป็นผืนป...

13 กรกฎาคม 2564
4298

CP ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อน Social Enterprise ผู้นำหญิงนักพัฒนา ก้าวสู่ชุมช...

07 กรกฎาคม 2564
4174

เครือเจริญโภคภัณฑ์
Copyright 2016.
Privacy Policy | Rules & Regulations

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

  • ความรู้คู่คุณธรรม: www.truepookpanya.com
  • CP-Enews ปี 2013: news.cpfworldwide.com
  • CP-Enews ปี 2012: www.cpthailand.com/enews

ติดต่อเรา

สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เลขที่ 18 อาคาร ทรู ทาวเวอร์ ชั้น 25 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

  • โทรศัพท์ : 02-858-6286 / 02-858-2564 / 02-858-3721-2
  • โทรสาร : 02-858-3726
  • อีเมล์ : prcpgroup@cp.co.th