• หน้าแรก
  • คุยกับ CP
  • ข่าวเศรษฐกิจ - ธุรกิจ
  • CP เพื่อสังคมที่ยั่งยืน
  • ข้อเท็จจริง CP
  • แวดวง CP
  • เปิดหน้าต่างมองโลก
  • วิดีโอ
  • วารสารบัวบาน
  • ติดต่อเรา

ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐและการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลก IMF ประเมินว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.4 แม้ว่าจะถูกรุมเร้าด้วยปัจจัยเสี่ยงและ ความผันผวนจากภูมิภาคต่างๆ


โดย สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน เครือเจริญโภคภัณฑ์

14 กุมภาพันธ์ 2560

 

เศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะขยายตัวร้อยละ 3.1-3.2 จากร้อยละ 2.8 ในปี 2558 จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวตามรายได้เกษตรกร มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาครัฐ และการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในปี 2560 สถาบันหลายแห่งประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3.2-4.0 แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการลงทุนภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นและเร่งการลงทุน โดยรัฐบาลมุ่งที่จะให้ปี 2560 เป็น ปีทองของการลงทุนไทย โดยมุ่งเน้นการลงทุนที่มีความสมดุลทั้งเศรษฐกิจภายนอกและภายใน ตามแนวทาง “ประเทศไทย  4.0” ประกอบกับการเร่งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในอาเซียน คาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 1.78 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8.5 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ยังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งความผันผวนของตลาดการเงินโลกและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศตามทิศทางการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยของ Fed ภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศคู่ค้าหลักของไทยอย่างประเทศจีน และสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ 

สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2560 IMF ประมาณการว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.4 จากร้อยละ 3.1 ในปี 2559 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีนและอินเดียเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนของโลกและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศต่างๆ 

เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2560 คาดว่าจะได้แรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ตลอด 4 ปี การยกเลิกภาษีมรดก การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 15% และลดภาษีเหลือ 10% สำหรับการนำเงินฝากในต่างประเทศกลับประเทศ โดย IMF ประมาณการว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวสูงร้อยละ 2.3 จากร้อยละ 1.6 ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้ม แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบการส่งออกสหรัฐฯ และอาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกเพิ่มขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2560 จะมีความเสี่ยงจากการที่ศาลฎีกาตัดสินว่า รัฐบาลต้องนําข้อเสนอในการเจรจาเพื่อออกจากยุโรปไปผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนนำไปดำเนินการ ทำให้                 การออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรอาจยืดเยื้อ นอกจากนี้ เศรษฐกิจยุโรปยังเผชิญกับความ ไม่แน่นอนทางการเมือง เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งหลายประเทศในยุโรป โดย IMF ประมาณการว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.6 ขณะที่เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะชะลอตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 จากร้อยละ 2.0 ในปี 2559

เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2560 IMF ประมาณการว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.8 โดยแรงขับเคลื่อนมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่จะดีขึ้น เนื่องจากมีการเลื่อนการขึ้นภาษีบริโภคจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 10 จากเม.ย. 2560 เป็นต.ค. 2562 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินเยน และการขาดแคลนแรงงาน จากปัญหาโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อภาคการลงทุนและ การขยายตัวของเศรษฐกิจ

ด้านเศรษฐกิจจีนในปี 2560 จะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดย IMF ประมาณการว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 จากร้อยละ 6.7 ในปี 2559 จากความคาดหวังของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเงินและการคลัง มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และการอ่อนค่าของเงินหยวน ขณะที่เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนลดลงอย่างต่อเนื่องเพื่อพยุงค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าเร็วเกินไป แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงมาก จึงยังไม่เป็นปัญหาทางด้านเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศในระยะสั้น  

เศรษฐกิจอาเซียนในปี 2560 IMF ประมาณการว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 4.8 ในปี 2559 เนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และรัสเซียตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกสินค้าของประเทศอาเซียนขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอาเซียนอาจจะเผชิญหน้ากับกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าสหรัฐฯ ขณะที่นโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่ออาเซียนค่อนข้างจำกัด 

 

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าสนใจ

สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ จะออกรายงานสำคัญประเมินสถานการณ์โลก ทุกๆ 4 ปี ก่อนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ ครั้งนี้ใช้ชื่อว่า ความขัดแย้งของความก้าวหน้า (Paradox of Progress) โดยคาดว่าจะมี 4 แนวโน้มสำคัญ ได้แก่   

1. ความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆจะมากขึ้น ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ

2. การเติบโตของโลกจะชะลอตัว

3. ความร่วมมือระดับสากลจะเป็นเรื่องที่ยาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ขณะที่ความแตกต่างในค่านิยมและผลประโยชน์จะคุกคามความมั่นคงระหว่างประเทศ

4. ความไม่แน่นอนในสหรัฐฯ และความอ่อนแอของหลักการป้องกันความขัดแย้ง และสิทธิมนุษยชนจะส่งเสริมให้จีนและรัสเซียท้าทายอิทธิพลของสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างประเทศในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แนวโน้มของโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจพอสรุปได้ดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงของประชากรอาจทำให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้น

ประชากรของโลกจะเข้าสู่สังคมสูงอายุและมีแนวโน้มย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองมากขึ้น การขยายตัวของประชากรโลกจะช้าลง ขณะที่อายุเฉลี่ยของประชากรโลกจะเพิ่มขึ้น โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) คาดว่าประชากรวัยแรงงานของโลกจะหดตัวอย่างมากจาก 1.2 พันล้านคนในช่วงปี 2538-2558 เหลือ 850 ล้านคนในปี 2558-2578 โดยเฉพาะในประเทศจีนและรัสเซีย แต่จะขยายตัวสูงในประเทศกำลังพัฒนา การพัฒนาทักษะแรงงานและการศึกษาจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาเกิดความเท่าเทียมกัน

2.  การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมาก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาด้วยเทคโนโลยีใหม่

ประเทศพัฒนาแล้วจะพยายามรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา จะมุ่งเน้นแก้ปัญหาความยากจนและผลักดันเศรษฐกิจจากการเติบโตของประชากรวัยทำงานสูง โดยทั้ง 2 กลุ่มประเทศได้รับแรงกดดันในการสร้างภาคการจ้างงานในสาขาใหม่ๆ เพื่อทดแทนการเปลี่ยนแปลงของภาคการผลิตที่เน้นใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีชั้นสูงมากขึ้น

3. เทคโนโลยีอัตโนมัติจะก้าวสู่ภาคการผลิตเต็มรูปแบบ

ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีระดับสูงจะมีบทบาทมากขึ้น อาจเข้ามาแทนที่แรงงานและจะตอกย้ำความแตกต่างทางฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศสูงขึ้น

4. ความคิดทางการเมืองจะเป็นไปตามความต้องการของกลุ่มคนและเป็นประชานิยม

การเชื่อมโยงของโลกที่เติบโตท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะเพิ่มความตึงเครียดภายในและระหว่างสังคมมากขึ้น โดยในช่วง 20 ปีข้างหน้า ประชานิยมจะเพิ่มสูงขึ้น ผู้นำทางการเมือง จะใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมในการควบคุมประเทศ และเกือบทุกประเทศจะกระตุ้นสถานะและบทบาทความเป็นผู้นำของสตรี

5. การบริหารประเทศทำได้ยากขึ้นเพราะมีความแตกต่างทางความคิดสูง

เนื่องจากมีข้อจำกัดทางการคลัง การเมือง ความสามารถในการบริหาร และการทุจริตของรัฐบาล ทำให้ช่องว่างระหว่างรัฐบาลและประชาชนเพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้การดูแลประเทศยากลำบาก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงและเพิ่มโอกาสการชุมนุมประท้วงของประชาชน

6. ความขัดแย้งที่มากขึ้น อาจนำไปสู่การขาดเสถียรภาพในทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ความเสี่ยงของความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้นในช่วง 20 ปีต่อจากนี้ อาทิ จากการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มมหาอำนาจ ซึ่งอาจนำพาไปสู่ภัยคุกคามจากก่อการร้าย โดยความรุนแรงของความขัดแย้งจะหวนกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง แต่มาในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนหนึ่งมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนาบริบททางการเมืองทั่วโลก

7. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพอาจนำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้น 

ในอนาคตทั่วโลกจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม หรือความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ทั่วโลกจะต้องร่วมมือกันเตรียมรับความพร้อมรับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

ข่าวยอดนิยม

เครือเจริญโภคภัณฑ์บริษัทข้ามชาติแห่งแรกในจีนจดทะเบียนการค้าหมายเลข 000...

17 พฤษภาคม 2560
26647

การบริหารงานบุคคลของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในยุค 4.0...

08 พฤศจิกายน 2560
21966

โครงการเลี้ยงไก่ไข่อาหารกลางวันนักเรียน การ “ให้” อย่างมีคุณค่า ทั้งด้...

03 กรกฎาคม 2558
20583

Cage Free Eggs ไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของผู้บริโภ...

18 กรกฎาคม 2562
12704

แชร์ข่าวสาร

Animal Welfare สวัสดิภาพสัตว์ ที่มากกว่าความเป็นอยู่ที่ดี... สร้างประเทศไทย 4.0 ให้เป็นจริงได้อย่างไร โดย ท่านประธานฯธนิน...
  • CP Group
  • เครือเจริญโภคภัณฑ์
  • เศรษฐกิจ
  • Econimic

ข่าวที่น่าสนใจ

อ่านข่าวทั้งหมด อ่านข่าวทั้งหมด

“มาริษา เจียรวนนท์” บนเส้นทางรังสรรค์ อาหารเพื่อสังคม ผ่านมูลนิธิ CHEF...

23 พฤศจิกายน 2564
3903

สูตรรอด 'CPF' อยู่ร่วมโควิด กระจายความเสี่ยง 47 ประเทศ...

30 สิงหาคม 2564
3639

ทำความรู้จัก “สบขุ่นโมเดล”: CP ร่วมพัฒนา พลิกเขาหัวโล้นให้กลายเป็นผืนป...

13 กรกฎาคม 2564
4406

CP ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อน Social Enterprise ผู้นำหญิงนักพัฒนา ก้าวสู่ชุมช...

07 กรกฎาคม 2564
4230

เครือเจริญโภคภัณฑ์
Copyright 2016.
Privacy Policy | Rules & Regulations

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

  • ความรู้คู่คุณธรรม: www.truepookpanya.com
  • CP-Enews ปี 2013: news.cpfworldwide.com
  • CP-Enews ปี 2012: www.cpthailand.com/enews

ติดต่อเรา

สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เลขที่ 18 อาคาร ทรู ทาวเวอร์ ชั้น 25 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

  • โทรศัพท์ : 02-858-6286 / 02-858-2564 / 02-858-3721-2
  • โทรสาร : 02-858-3726
  • อีเมล์ : prcpgroup@cp.co.th