เพื่อทำความฝันที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริง ผมได้ทดลองโครงการใหม่ขึ้นที่หมู่บ้านผิงกู่ (Pinggu) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครปักกิ่ง นั่นคือ “โครงการไก่ไข่ 3 ล้านตัวผิงกู่” ที่เริ่มการผลิตในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555
โครงการแห่งนี้คือโรงงานผลิตไข่ไก่ที่ครบวงจรและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง โดยสร้างเป็นโรงเรือนระบบปิดทั้งหมดเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่โรงเรือน ไก่ไข่จำนวน 3 ล้านตัวสามารถผลิตไข่ได้วันละ 2.4 ล้านฟอง ทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การผสมอาหารสัตว์ซึ่งเป็นขั้นตอนแรก จนถึงการส่งไข่ไก่ออกจากโรงงานซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย จะควบคุมด้วยระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ (Automation) ทั้งหมด กล่าวคือ อาหารสัตว์จะถูกลำเลียงผ่านท่อไปยังฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ แล้วนำส่งไปเลี้ยงไก่ เมื่อไก่ออกไข่แล้ว ไข่จะถูกส่งด้วยสายพานลำเลียงไปสู่พื้นที่จัดเก็บและคัดแยก ภายในโรงงานมีแขนกลเหมือนที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ (Robotics) ค่อยๆ นำไข่ไก่ขึ้นวางบนชั้น กระบวนการผลิตเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
ส่วนมูลจากไก่ 3 ล้านตัว จะถูกนำไปทำปุ๋ยชีวภาพและนำไปใช้ในสวนผลไม้ที่อยู่ใกล้เคียง ไก่แก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้แล้วจะถูกนำไปแปรรูปอาหาร และชิ้นส่วนที่เหลือจะถูกนำไปเป็นอาหารจระเข้ ซึ่งการเลี้ยงจระเข้ยังสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับโครงการอีกด้วย จะเห็นว่าการนำทรัพยากรกลับมาหมุนเวียนใช้อย่างคุ้มค่า สามารถรักษาสิ่งแวดล้อมบริเวณใกล้เคียง และยังช่วยบริหารต้นทุนการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้โครงการนี้จะตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแรงงาน แต่เราก็ใช้พนักงานเพียงไม่กี่สิบคน ส่วนเกษตรกรจำนวนเกือบ 5,000 คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นจะอยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง ผู้ถือหุ้นก็มีหลักประกันว่าจะได้รับค่าเช่าที่ดินในอัตราที่แน่นอน และหากโครงการมีผลประกอบการที่ดีก็จะได้รับเงินปันผลเป็นการเพิ่มเติมด้วย
สำหรับเครือเจียไต๋แล้ว โครงการผลิตไข่ไก่นี้จะได้กำไรหรือไม่ อาจไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด เนื่องจากยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น การผลิตอาหารสัตว์ การผลิตไก่พันธุ์ การแปรรูปอาหาร และการค้าปลีกที่เป็นธุรกิจปลายน้ำก็สามารถสร้างผลกำไรได้ แต่ในอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะโอนกรรมสิทธิ์โครงการแห่งนี้ให้แก่สหกรณ์ซึ่งมีเกษตรกรเป็นสมาชิก
อาจเกิดคำถามว่า เครือเจียไต๋มีจุดมุ่งหมายอย่างไรที่ไปสร้างโครงการที่ผลิตด้วยระบบอัตโนมัติในหมู่บ้านที่มีแรงงานเพียบพร้อมอยู่แล้ว คำตอบคือรูปแบบการบริหารแบบนี้มีข้อดี 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น เพราะให้เกษตรกรเป็นเถ้าแก่และผู้ถือหุ้น มากกว่ารับจ้างใช้แรงงาน ผู้ถือหุ้นจะมีรายได้จากส่วนแบ่งกำไร มีหลักประกันในชีวิต เกษตรกรที่ต้องการมีรายได้มากขึ้นก็ยังสามารถไปทำงานอื่นๆ นอกโครงการได้ ซึ่งลำพังการรับจ้างทำงานในโรงงานทั่วไปเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถสร้างรายได้ที่ดีเท่านี้
ประการที่สอง เป็นการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศจีนใช้ “นโยบายลูกคนเดียว” มาอย่างยาวนานซึ่งเพิ่งได้รับการยกเลิกไปเมื่อปีพ.ศ. 2558 ทำให้ในอนาคตจะมีช่วงเวลาที่แรงงานวัยหนุ่มสาวของจีนทั้งในเขตเมืองและชนบทมีจำนวนลดน้อยลง
งานในอนาคต
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่ประสบปัญหาสังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดต่ำ และนับวันปัญหาจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นในทวีปเอเชีย โรงงานที่ใช้ระบบอัตโนมัติจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้การใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตยังสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและปัญหาจากคนงานใหม่ซึ่งยังไม่ได้รับการฝึกฝนให้ชำนาญพอ จนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของงานอีกด้วย
ผมสนใจติดตามความก้าวหน้าเรื่องหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะยิ่งมนุษย์ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้นเท่าใด กำลังการผลิตก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อก่อนคุณพ่อของผมทำงานโดยไม่มีวันหยุดเลยตลอด 7 วันใน 1 สัปดาห์ แต่หลังจากที่ผมมารับช่วงต่อ บริษัทก็ได้เริ่มให้มีวันหยุด 1 วัน และเพิ่มเป็น 2 วันมาจนทุกวันนี้ ที่เราสามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเทคโนโลยีการผลิตด้วยเครื่องจักรกลทำให้ประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น และในอนาคตหากมีการนำหุ่นยนต์มาช่วยทำงานเพิ่มมากขึ้น เราอาจจะเพิ่มวันหยุดเป็น 3 วันต่อสัปดาห์ก็เป็นได้
ศตวรรษที่ 21 จะเป็นยุคที่หุ่นยนต์ปลดปล่อยมนุษย์จากการใช้แรงงานที่ยาวนานและเหนื่อยยาก ระบบคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมเป็นรูปแบบของสังคมในอุดมคติ แต่การขาดแคลนอาหารและปัจจัยต่างๆ ไม่สามารถจะนำไปสู่สังคมในอุดมคติได้ ระบบอัตโนมัติแก้ปัญหาการขาดแคลนแล้วยังสร้างผลผลิตส่วนเกินได้อีกด้วย จึงทำให้มนุษย์เดินตามเส้นทางสู่สังคมที่ใฝ่ฝันได้ซึ่งผมเองก็อยากมีส่วนช่วยการเดินตามความฝันนี้ด้วยการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวหน้าสืบไป
แปลและเรียบเรียงโดย :
- คุณภรณี จิรวงศานนท์ สำนักประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์
- มร. หวง เหวยเหว่ย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ซีที อินฟราสตรักเจอร์ ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด
ที่มา : http://www.nikkei.com/article/DGXKZO05418740Z20C16A7BC8001/