บริษัทของเราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่เครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องเปลี่ยนจากกิจการครอบครัวไปสู่องค์กรที่บริหารโดยบุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพ ผมตัดสินใจเชิญบุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกมาช่วยบริหารงานแทนคนในครอบครัว เพราะผู้ที่ไม่มีความชำนาญในการบริหารธุรกิจ ในไม่ช้าก็อาจจะตามการพัฒนาของโลกธุรกิจไม่ทัน
ผมทำเช่นนี้ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างญาติพี่น้องที่อาจกระทบต่อกิจการในอนาคต ถึงแม้ว่าญาติพี่น้องในรุ่นคุณพ่อและรุ่นของผมจะร่วมมือร่วมใจกันสร้างบริษัทจนเติบใหญ่ แต่คุณพ่อก็ยังคงเป็นห่วงว่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในครอบครัว คุณพ่อจึงขอให้ลูกๆ แยกออกไปอยู่ต่างหากหลังจากที่แต่งงานแล้ว โดยไม่อนุญาตให้อาศัยอยู่ในบ้านต่อ
คุณพ่อเคยกล่าวว่า “ไม่ว่าพี่น้องจะปรองดองกันมากเท่าไหร่ เมื่อแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว อาจจะมีปากเสียงกันได้ ถ้าอยู่ในชายคาเดียวกัน”
เรื่องลำบากใจ
ในบรรดาธุรกิจของชาวจีนโพ้นทะเล มีจำนวนไม่น้อยที่ลูกหลานรุ่นที่ 2 และ 3 ยังคงเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานของกิจการครอบครัว แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ครอบครัวแตกแยกกัน จนทำให้ธุรกิจล่มสลายไปด้วย ผมตัดสินใจยกเลิกระบบบริหารงานแบบครอบครัว โดยบอกกล่าวกับบรรดาพี่สาวที่ทำงานในบริษัทว่า “ผมจะให้ผลตอบแทนและสวัสดิการที่ดีกว่างานที่พี่ๆ ทำอยู่ พี่จะได้พักผ่อนและมีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่” และขอให้พี่สาวออกจากงานที่บริษัท
ความลำบากใจที่สุดคือการบอกกับพี่สะใภ้คนโต ซึ่งท่านเป็นคนดีมาก และทำงานอย่างทุ่มเท หลังจากที่ท่านประธานจรัญก่อตั้งธุรกิจอาหารสัตว์แล้ว พี่สะใภ้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานด้านบัญชีมาโดยตลอด ผมลำบากใจที่ต้องขอให้พี่สะใภ้ออกจากงาน แต่เพื่อบริษัท ผมจำเป็นต้องตัดสินใจแบบนั้น
ผมพูดกับพี่สะใภ้ว่า “ไม่ว่าพี่จะเสียสละ อุทิศตนเองให้บริษัทเพียงใด คนอื่นก็อาจยังมีความเคลือบแคลงสงสัย เพราะพี่เป็นภรรยาของประธานบริษัท” ผมค่อยๆ พูดเกลี้ยกล่อมให้คนในครอบครัวออกจากงานบริหาร และเปลี่ยนให้คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถเฉพาะด้านมาทำงานแทน
ผมยังตั้งกฎขึ้นมาอีกข้อหนึ่งนั่นคือ ไม่ให้ลูกหลานของตระกูลเข้ามาบริหารธุรกิจเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และแน่นอนว่าหมายรวมถึงลูกชายของผมด้วย ธุรกิจของบริษัทจะพัฒนาเติบโตไปอย่างราบรื่น ก็เพราะมีทีมงานที่มีศักยภาพสูง ถ้าให้ลูกหลานในตระกูลเข้าไปบริหาร ไม่ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ก็อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากทุกคน
ก่อนที่ลูกหลานของตระกูลจะเข้ามาทำงานในบริษัท ทีมงานของบริษัทได้บริหารกิจการจนประสบความสำเร็จมากแล้ว ถ้าให้ลูกหลานในตระกูลเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหาร จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าสูญเสียโอกาสในการเติบโตก้าวหน้า ทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่มีอนาคต นอกจากจะทำให้บุคลากรที่มีความสามารถต้องจากบริษัทไปแล้ว ยังจะส่งผลเสียต่อระบบการพัฒนาบุคลากรในด้านการพัฒนาคนที่จะขึ้นมาทดแทนเป็นรุ่นๆ ไป
ผมไม่เคยเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ แต่จากประสบการณ์การทำงานจริง ผมตระหนักอย่างเด่นชัดว่า การถือหุ้นกับการบริหารควรแยกออกจากกัน ผู้บริหารมีหน้าที่สร้างผลกำไรแก่บริษัทด้วยความรู้แบบมืออาชีพ ส่วนผู้ถือหุ้นก็ควรยินดีกับผลตอบแทนที่มาจากกำไร ไม่ควรให้ผู้ถือหุ้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหาร มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายและอาจทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารลดลง
ผมให้สมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้น โดยผมอุทิศตัวเองในฐานะผู้บริหาร ทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจและทุ่มเท เมื่อผู้ถือหุ้นได้รับการดูแลที่ดี และผมก็ไม่ได้คิดที่จะครอบครองหุ้นไว้แต่เพียงผู้เดียว สมาชิกในครอบครัวจึงพอใจและยอมรับในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ในฐานะที่เป็นผู้บริหาร ถึงแม้ว่าผมต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เพียงแค่ได้เงินเดือนและโบนัสผมก็พอใจแล้ว ถ้าผมถือหุ้นทั้งหมดเพียงผู้เดียว ไม่เพียงแต่จะมีปัญหากับญาติพี่น้อง แต่ยังจะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อีกด้วย
ในปีพ.ศ. 2512 ตอนที่ผมอายุได้ 30 ปี ท่านประธานจรัญซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของผม แต่งตั้งให้ผมดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ นับเป็นช่วงที่กิจการครอบครัวได้ปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรธุรกิจที่มีผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ ผมได้เข้ามารับช่วงการบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเราเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอดนับจากนั้น ทุกวันนี้เวลาพบปะกัน ก็ยังพูดคุยกันฉันพี่น้องด้วยความเป็นมิตร
แปลและเรียบเรียงโดย :
- คุณภรณี จิรวงศานนท์ สำนักประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์
- มร. หวง เหวยเหว่ย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ซีที อินฟราสตรักเจอร์ ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด
ที่มา : http://www.nikkei.com/article/DGXKZO04747720S6A710C1BC8001/