ส่องทิศทางค่าเงินบาทปีเสือ เผชิญ 3 ปัจจัยหลัก “เฟดขึ้นดอกเบี้ย-ลดคิวอี-โอไมครอน” ตัวแปรทำค่าเงินผันผวน “กรุงไทย” มองเทรนด์ทั้งปีบาทแข็ง 5% “กสิกรไทย” คาดไตรมาสแรกแข็งค่า 32.75-33.00 บาท ก่อนพลิกอ่อนค่าในไตรมาส 2 ฟาก “ทีทีบี” มองสวนทาง คาดปีหน้า “บาทอ่อนยวบ” ชี้มีโอกาสเห็นอ่อนค่าแตะ 35 บาท หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก
นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายทีม Investment and Markets Research ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในปี 2564 แนวโน้มค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้นราว5%
โดยกรอบเคลื่อนไหวจะอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์ จากปีนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า สิ้นปี 2564 น่าจะอยู่ที่ 33.00 บาท ส่วนหนึ่งมาจากเงินดอลลาร์ที่อยู่ในวัฏจักรแข็งค่า ทำให้ค่าเงินในสกุลตลาดเกิดใหม่ (emerging market) มีทิศทางอ่อนค่าทั้งหมด
“จากการเปิดประเทศนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับมาได้ ราคาพลังงานเริ่มมีความเสถียร ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในปีหน้า อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม 2 ปัจจัย
คือ 1.สัญญาณนักลงทุนออกไปซื้อหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ปีนี้อยู่ที่กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ คาดว่าปีหน้ายังคงเห็นการออกไปลงทุน และ 2.เงินทุนเคลื่อนย้ายจากการซื้อกิจการ (cross-border M&A)
จะเห็นว่าในปีนี้และปีหน้ามีดีลการซื้อกิจการขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายดีล เช่น การซื้อธุรกิจโรงแรม หรือซื้อพอร์ตกิจการรายย่อย ส่วนใหญ่เป็นดีลที่ต่างชาติขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ โดย 2 ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่จะกดดันเงินบาทอ่อนค่าได้”
นายสงวนกล่าวว่า โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปีหน้ามีค่อนข้างจำกัด โดยคาดว่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยได้ในปี 2567 จำนวน 2 ครั้งจาก 0.50% ไปอยู่เป็น 1% ต่อปี
เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวค่อนข้างช้าและไทยยังขาดดุลงบประมาณเมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มแคบลง แต่ไทยยังจำเป็นต้องกระตุ้นต่อเนื่อง
เพราะการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่ สอดคล้องกับที่ ธปท.ส่งสัญญาณว่าไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า ประมาณการค่าเงินบาทปี 2565 อยู่ที่ 32.00-34.00 บาท และค่ากลางอยู่ที่ 32.30 บาท
โดยเงินบาทปีหน้ายังคงมีความผันผวน แม้ว่าตลาดจะรับรู้ข่าวร้ายไปพอสมควรแล้ว ซึ่งมี 3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ 1.พัฒนาการเรื่องการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ผลการศึกษาวัคซีนและการฉีดวัคซีนในประเทศ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ