นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยสถานการณ์เบร็กซิทว่า ตามที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (อียู) ได้บรรลุข้อตกลงการค้าและความร่วมมือ (EU-UK Trade and Cooperation Agreement) ระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2563 และสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงการค้าฯ แล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการให้สัตยาบันจากรัฐสภายุโรป ซึ่งคาดว่าจะประชุมภายในเดือนก.พ. 2564 ในส่วนของสหราชอาณาจักรได้ให้สัตยาบันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับอัตราภาษีนำเข้าของสหราชอาณาจักรหลังเบร็กซิท หลังจากวันที่ 1 ม.ค. 2564 ผู้ส่งออกสินค้าไปยังสหราชอาณาจักรจากประเทศที่ไม่มีข้อตกลงทางการค้า จะต้องใช้อัตราภาษีนำเข้าของสหราชอาณาจักร (UK Global Tariff: UKGT) แทนอัตราภาษีภายใต้กรอบเดิมของอียู (Common External Tariff: EU CET) เป็นครั้งแรกในรอบ 50 กว่าปี
โดยอัตราภาษี UKGT สหราชอาณาจักรได้พิจารณาปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศ สนับสนุนธุรกิจในประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ลดอัตราภาษีแก่สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือน สินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน และสินค้าที่สหราชอาณาจักรไม่สามารถผลิตได้เอง รวมถึงสินค้าที่สนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว (เช่น ขวดสุญญากาศ หลอดไฟ LED เป็นต้น) นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังได้ยกเว้นอัตราภาษีนำเข้าชั่วคราวแก่สินค้ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ป้องกันโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากโครงสร้างอัตราภาษีใหม่ของสหราชอาณาจักร เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น (Fair Competition) และทำให้เกิดการค้ากันมากขึ้น (Trade Creation) สินค้าไทยจะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีใหม่ของสหราชอาณาจักรที่มีการยกเว้นอัตราภาษี เพิ่มขึ้นจำนวน 732 รายการ จากตารางภาษีเดิมของอียูที่ยกเว้นอัตราภาษีจำนวน 792 รายการ ทำให้สินค้าไทยได้รับการยกเว้นอัตราภาษีทั้งหมด 1,524 รายการ สินค้าสำคัญที่ UK นำเข้าจากไทยและได้ประโยชน์จากภาษีนำเข้าที่ลดลง ได้แก่ ไก่แปรรูป ถุงมือยาง รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอย ซอสปรุงรส อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น (ตารางแนบท้าย)
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ