พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ กล่าวในพิธีเปิดตัวโครงการ “พี่จูงน้อง” ว่า โครงการนี้มีความสำคัญมากในการผลักดันให้ผู้ประกอบการายย่อย หรือ SMEs ได้มีโอกาสเปิดตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์มุ่งหวังจะสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านการพัฒนาองค์ความรู้ ช่วยส่งเสริมการตลาด หาช่องทางการจัดจำหน่าย และการตลาดในต่างประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถ และทักษะเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs โดยภาครัฐเป็นตัวกลางประสานงานกับผู้ประกอบการชั้นนำของไทยที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างประเทศ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มสหพัฒนพิบูล กลุ่มเซ็นทรัล บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ และ บมจ.ล็อกซเล่ย์ ในการเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำและช่วยเหลือการทำธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อช่วยเป็นพลังพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า ขยายมูลค่าการค้าระหว่างประเทศให้สูงขึ้น สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ขณะนี้ได้คัดเลือก SMEs ที่มีความพร้อมกว่า 50 บริษัทเข้าร่วม และเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ คาดว่าจะสามารถประเมินผลความสำเร็จได้ภายใน 6 เดือน
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในนามเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวในงานเปิดตัวโครงการ “พี่จูงน้อง” แนวคิดนี้สอดคล้องกับนโยบายของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับแผ่นดินไทย เพราะหาก SMEs ของไทยสามารถเติบโตและประสบผลสำเร็จในการขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่มีกำลังซื้อมหาศาล ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ไม่เพียงแค่ SMEs เท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยด้วย
นายศุภชัย ยังกล่าวด้วยว่า เครือฯ เป็นบริษัทข้ามชาติแห่งแรกที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2522 เป็นเวลากว่า 35 ปีนับตั้งแต่จีนเริ่มเปิดประเทศ มีการดำเนินธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกที่มีช่องทางจำหน่ายสำคัญคือศูนย์การค้าซูเปอร์แบรนด์มอลล์ที่เซี่ยงไฮ้ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 80,000-100,000 คนต่อวัน และห้างโลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์ 70 สาขา มีสินค้าจำหน่ายกว่า 20,000 รายการ โดยเครือฯ จะช่วยพัฒนาสินค้า SMEs สู่ตลาดจีน ทั้งการวิจัยทดลองตลาด แนะนำบรรจุภัณฑ์ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและนำสินค้าไปจำหน่ายพร้อมโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า
“ผมมองว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดจีนจะมีเศรษฐกิจเทียบเท่าสหรัฐอเมริกา ส่วนตลาดอาเซียนจะเทียบเท่ากับยุโรป จึงอยากให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือ SMEs ในการพัฒนาสินค้า พัฒนาแบรนด์ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ” นายศุภชัย กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่เครือฯ ให้การสนับสนุนมี 8 รายดังนี้ กลุ่ม SMEs ด้านผลิตภัณฑ์ไม่ใช่อาหาร (Non Food) 4 บริษัทคือ บริษัท นำง่ายฮง (กล่องพลาสติก) บริษัท พาสตินา (เครื่องใช้พลาสติก) บริษัท สแตนดาร์ด ยูนิเวอร์แซล อินเตอร์เนชั่นแนล (ผลิตภัณฑ์พลาสติก) และบริษัท ซัง อา (ไทย) (เครื่องใช้พลาสติก) ส่วนกลุ่ม SMEs ด้านผลิตภัณฑ์อาหาร (Food) 4 บริษัทคือ บริษัท บุญฟูดส์ (ลูกกวาด) บริษัท เออีซี เฟรนด์ชิพ (กาแฟทุเรียน) บริษัท ชายน้อยฟู้ด (ทุเรียนทอดกรอบ) และบริษัท วาไรตี้ ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (เวเฟอร์ทุเรียนและเวเฟอร์มังคุด)