• หน้าแรก
  • คุยกับ CP
  • ข่าวเศรษฐกิจ - ธุรกิจ
  • CP เพื่อสังคมที่ยั่งยืน
  • ข้อเท็จจริง CP
  • แวดวง CP
  • เปิดหน้าต่างมองโลก
  • วิดีโอ
  • วารสารบัวบาน
  • ติดต่อเรา

เกษตรพันธสัญญาในรูปแบบสหกรณ์ : ทางเลือกเพื่อเกษตรกรรายย่อย


16 มีนาคม 2558

เกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เป็นระบบการผลิตทางการเกษตรที่มีการจัดการร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการหรือบริษัทผู้รับซื้อผลผลิตกับผู้ผลิตหรือเกษตรกร ซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เช่น ที่ดิน และ แรงงาน เป็นต้น ขณะที่บริษัทผู้รับซื้อผลผลิตจะให้การสนับสนุนเรื่องของทุน พันธุ์พืช/สัตว์ และเป็นที่ปรึกษาในด้านการผลิตรวมทั้งเทคโนโลยีการผลิตโดยที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงทำสัญญาระหว่างกันเกี่ยวกับ ราคา ปริมาณ และคุณภาพของผลผลิต รวมทั้งช่วงเวลาที่จะรับซื้อไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการผลิตเกิดขึ้น 

ระบบการผลิตแบบเกษตรพันธสัญญา เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งเกษตรกรและบริษัทเอกชน โดยบริษัทฯสามารถขยายกำลังการผลิตในปริมาณมาก โดยมิต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรประเภทที่ดินและโรงเรือนเอง ทั้งยังได้รับสินค้าตามมาตรฐานที่ต้องการผ่านการควบคุมคุณภาพและปัจจัยการผลิต ส่วนเกษตรกรก็ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่อาชีพโดยใช้เงินทุนต่ำ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและได้รับวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และมีตลาดรองรับจากระบบการประกันราคารับซื้อที่แน่นอน นำไปสู่การพัฒนาภาคเกษตรที่เป็นระบบ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 

จากงานศึกษาของผู้เขียน พบว่าเกษตรกรและบริษัทเอกชนที่อยู่ในระบบเกษตรพันธสัญญาก็มีความแตกต่าง มีทั้งเกษตรกรรายย่อยที่มีเงินลงทุนหลักแสนบาท จนกระทั่งรายใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนหลายสิบล้านบาท ส่วนบริษัทฯก็มีตั้งแต่บริษัทขนาดเล็กเป็นธุรกิจไม่ครบวงจร และจำหน่ายสินค้าในประเทศเป็นหลัก ไปจนกระทั่งบริษัทขนาดใหญ่มีธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีเครือข่ายธุรกิจทั่วประเทศ มีการผลิตขนาดใหญ่เพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ 

ข้อเท็จจริงที่พบก็คือ เกษตรกร รายย่อยจะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุน และไม่สามารถลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใช้เงินทุนสูงได้ จึงไม่สามารถผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นคู่สัญญากับบริษัทใหญ่ที่มีมาตรฐานสูง ในเรื่องระบบการเลี้ยงและการจัดการฟาร์ม ดังนั้น เกษตรกรรายย่อยเหล่านี้มักเลือกทำเกษตรพันธสัญญากับบริษัทเล็กที่มีความยืดหยุ่นและไม่เข้มงวดในเงื่อนไขต่างๆ มากนัก ส่วนเกษตรกรรายใหญ่ที่มีเงินทุนเพียงพอ/เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดี ก็สามารถลงทุนในระบบการเลี้ยงที่ทันสมัยได้ ทำให้สามารถเลือกบริษัทเอกชนที่จะมาเป็นคู่สัญญาได้ เพราะการมีเงินทุนและสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ได้ครบถ้วน เกษตรกรรายใหญ่จึงมีข้อได้เปรียบที่จะเลือกคู่สัญญาได้ตามที่ตนต้องการ และมักเลือกบริษัทใหญ่เป็นคู่สัญญา 

จากความแตกต่างของผู้เล่นในอุตสาหกรรมและคู่สัญญาดังกล่าวข้างต้น นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เกษตรกรรายใหญ่ที่เป็นคู่สัญญากับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ จะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนต่ำจากการผลิตในปริมาณมากแล้วทำให้ต้นทุนต่อหน่วย ต่ำลง หรือที่เรียกว่า การประหยัดจากขนาด (Economy of scale) ขณะเดียวกันก็ได้ผลผลิตที่มีมาตรฐาน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญา ส่วนเกษตรกรรายย่อยมักมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยและอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิตสูงกว่ากลุ่มแรก หากมีการบริหารจัดการที่ไม่ดีพอก็อาจประสบผลขาดทุนและมีหนี้สินตามมา 

“รวมกลุ่มเกษตรกร” ....ทางออกของรายย่อย 

จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่าเกษตรกรรายใหญ่กับบริษัทเอกชนรายใหญ่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากสามารถทำธุรกิจเติบโตไปด้วยกันได้และมีปัญหาไม่มาก ส่วนเกษตรกรรายย่อยนั้นน่าจะต้องการแนวทางช่วยเหลือ ซึ่งผู้เขียนสนับสนุนแนวทาง “การรวมกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์” เข้ามาช่วยสร้างจุดแข็งและลดจุดอ่อนของเกษตรกรรายย่อยในการทำธุรกิจเกษตรพันธสัญญา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการทำเกษตรพันธสัญญา ทั้งเรื่องเงินทุนหรือเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานแล้ว ยังจะได้รับประโยชน์ จากการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์อีกด้วย อาทิ การประหยัดจากขนาด การแบ่งงานกันทำและเกิดความชำนาญเฉพาะด้านขึ้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน รวมทั้ง การรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์จะได้ประโยชน์จากการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ และประการสำคัญคือช่วยแก้ปัญหาในเรื่องเงินทุน โดยการระดมทุนและการกู้ยืมจะทำได้ง่ายขึ้น 

ในปัจจุบันแม้จะมีตัวอย่างการรวมกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์เพื่อทำธุรกิจเกษตรพันธสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นบ้างแล้วแต่ยังไม่แพร่หลายนัก เช่น โครงการหมู่บ้านสหกรณ์การเกษตร สันกำแพง จ.เชียงใหม่, โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง จ.เพชรบุรี, โครงการตามพระราชประสงค์ดอนขุนห้วย จ.เพชรบุรี, สหกรณ์การเกษตรหนองพลับ จำกัด จ.เพชรบุรี, โครงการตามพระราชประสงค์กลัดหลวง จ.เพชรบุรี, โครงการหมู่บ้านสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่ ป่าละอู-ป่าเด็ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียงในผืนดินพระราชทาน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค วิชาการ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านการตลาด โดยธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงไก่ไข่ในแต่ละปีมีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท เป็นผลกำไรสุทธิปีละประมาณ 10% หรือ อาจกล่าวได้ว่าสหกรณ์สามารถสร้างผลกำไรให้ตนเองได้ถึงปีละ 5 ล้านบาท 

จึงนับเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ ของ “การรวมกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์” ที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้ได้ประโยชน์จากการทำการผลิตในระบบเกษตรพันธสัญญาได้ ซึ่งภาครัฐควรจะให้การสนับสนุนหลังจากทำการส่งเสริมระบบสหกรณ์ในบ้านเราให้เข้มแข็งแล้ว หรือในอีกมุมหนึ่งนั้น การทำเกษตรพันธสัญญาในรูปแบบนี้ จะช่วยสนับสนุนให้สหกรณ์ไทยเข้มแข็งขึ้นอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวยอดนิยม

ประโยชน์ของข้าวแดง หรือ ข้าวซ้อมมือ...

13 ตุลาคม 2558
37306

อาหารจานด่วน-อาหารขยะ ผลเสียต่อสุขภาพ...

22 กรกฎาคม 2558
34266

เอ็มจี เติบโตต่อเนื่อง ทุ่มงบลงทุนกว่าหมื่นล้าน เปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห...

08 ธันวาคม 2560
25490

ซีพี-เมจิ ตอกย้ำภาพเบอร์ 1 ตลาดนมพาสเจอร์ไรซ์ พร้อมยกระดับตลาดโยเกิร์ต...

03 กรกฎาคม 2558
18259

แชร์ข่าวสาร

‘ข้าวตราฉัตร’ ครองแชมป์ ข้าวหอมมะลิแบรนด์คนไทย ยอดขายดีอันดั... ซีพีเอฟ แนะเทคนิคเลี้ยงปลาฝ่าวิกฤติแล้ง...
  • เกษตรพันธสัญญา
  • Contact Farming
  • เกษตรกร

ข่าวที่น่าสนใจ

อ่านข่าวทั้งหมด อ่านข่าวทั้งหมด

เวิลด์แบงก์เตือนหนี้สูงฉุดแผนฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก...

29 ธันวาคม 2564
12618

บริโภค-ลงทุนเอกชนทยอยฟื้นตัว “สศค.” เผยหนุน ศก.ภูมิภาคพ.ย.ปรับดีขึ้น...

29 ธันวาคม 2564
12820

นายกฯ พอใจศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง เร่งพัฒ...

28 ธันวาคม 2564
11309

ครม.ทราบมติ คกก.นโยบายการเงินรัฐ ขยับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกิ...

28 ธันวาคม 2564
11381

เครือเจริญโภคภัณฑ์
Copyright 2016.
Privacy Policy | Rules & Regulations

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

  • ความรู้คู่คุณธรรม: www.truepookpanya.com
  • CP-Enews ปี 2013: news.cpfworldwide.com
  • CP-Enews ปี 2012: www.cpthailand.com/enews

ติดต่อเรา

สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เลขที่ 18 อาคาร ทรู ทาวเวอร์ ชั้น 25 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

  • โทรศัพท์ : 02-858-6286 / 02-858-2564 / 02-858-3721-2
  • โทรสาร : 02-858-3726
  • อีเมล์ : prcpgroup@cp.co.th