นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับเกียรติเข้าร่วมเสวนา ในหัวข้อ Thailand: Strategic Move of Private Sector พร้อมกับนายชาติศิริ โสภณพณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่องานว่า Thailand Big Strategic Move เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเปิดงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะผู้จัดการกองทุนต่างชาติระดับโลกที่เข้าร่วมมากกว่า 20 กองทุน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการรวมกว่า 7.66 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ผู้บริหารในระดับประเทศทั้ง 3 ท่าน ได้นำเสนอมุมมองถึงการปรับตัวของภาคเอกชนของไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมถึงพูดคุยถึงภาคเอกชนไทยที่กำลังขยายการลงทุนไปในภูมิภาคเซียน โดยเฉพาะตลาด CLMV (เวียดนาม ลาว เมียนมาและเวียดนาม) ทั้ง 3 ท่านย้ำว่า ภูมิภาคนี้เต็มไปด้วยโอกาสและกำลังมีบทบาททางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นในเวทีนานาชาติ ดังนั้น ประเทศไทยควรปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน สามารถได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรวมตัวทางเศรษฐกิจ 

ปัจจุบัน จากข้อมูลพบว่าบริษัทไทยมีรายได้ราว 40% มาจากตลาดต่างประเทศ และยังพบอีกว่ามีบริษัท 125 บริษัทไปลงทุนในตลาดอาเซียน โดยบริษัทเหล่านั้นมีทั้งขนาดเล็ก กลางและใหญ่ ทำธุรกิจหลากหลายอาทิ การเงิน เทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค อุตหสาหกรรม ออกไปนอกประเทศเพื่อไปหาโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ปัจจุบันเครือเจริญโภคภัณฑ์ดำเนินธุรกิจอยู่ 8 กลุ่มธุรกิจและจุดเริ่มต้นของเครือฯมาจากธุรกิจเกษตร ต่อมาได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ปัจจุบันเครือฯมีการลงทุนอยู่ในทั่วโลก รวมทั้งในตลาดอาเซียน แม้ว่าเครือฯจะขยายการลงทุนไปมาก นายศุภชัยบอกว่า เครือฯก็ยังยึดหลักการเติบโตอย่างยั่งยืนและบนหลักการ Inclusive Economy ที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในยุค Thailand 4.0 นายศุภชัยบอกว่า ภาคเอกชนไทยต้องปรับตัว รวมถึงเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วย เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคดิจิทัลและมีธุรกิจใหม่ได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขับเคลื่อนจากกลุ่มสตาร์ทอัพ (Start-Ups) ปัจจุบันเห็นได้ว่า บริษัทชั้นนำ 5  อันดับแรกของโลกล้วนแต่อยู่บน digital platform ทั้งสิ้นเช่น  Apple และ Amazon จากแนวโน้มนี้ ทำให้ภาคธุรกิจจะเผชิญหน้ากับความท้าทายในด้านต่างๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีกก็จะเผชิญกับธุรกิจ e-commerce ภาคธนาคารจะเจอกับฟินเทค อุตสาหกรรมรถยนต์เผชิญหน้ากับรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ดังนั้น ยุคนี้ “คน” จึงมีบทบาทสำคัญ โจทย์จากนี้คือ จะทำอย่างไรให้การศึกษาและคนได้ถูกยกระดับจาก 2.0 เป็น 4.0 เนื่องจากบุคลากรในอนาคต 80% ต้องมีพื้นฐานด้านไอที และจากนี้ บริษัทที่เติบโตมากจากยุคดั้งเดิมจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และนายศุภชัย ก็เห็นด้วย ที่รัฐบาลที่พยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยบริษัทปรับตัวให้เข้ากับกระแสเทคโนโลยีดิจิทัล 

ประเทศไทยเองก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองด้วย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ของประเทศ นายศุภชัยบอกว่า ประเทศควรจัดพื้นที่เศรษฐกิจด้านต่างๆ (Economic Zoning Hub) ให้ชัดเจนเช่น การค้า การเงิน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ประเทศเด่นมากเพราะมีภูมิศาสตร์ที่ตั้งที่ดี นอกจากนี้ ยังต้องสนับสนุนการศึกษาและการสร้างวัตกรรมเช่น ไบโอเทคโนโลยี เทคโนโลยีนาโน และเทคโนโลยีอวกาศ รวมไปถึงภาคการเกษตร จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนจากยุค 1.0 เป็น 4.0 เพราะมีเกษตรกรราว 23 ล้านคนยังทำเกษตรแบบดั้งเดิมอยู่ ทำในลักษณะครอบครัวและคนกลุ่มนี้กำลังเข้าสู่วัยชรา พวกเขาจำเป็นต้องเข้าถึงเทคโนโลยี การจัดการและยกระดับการแข่งขึ้น เพื่อความอยู่รอด โดยทางออกนั้น อาจจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจ (Social Enterprise) รูปแบบสหกรณ์ (Co-Op) หรือเกษตรพันธะสัญญา (Contract-farming)  

ในด้านการพัฒนานั้น ภาครัฐและเอกชน สามารถผนึกกำลังเพื่อให้ประเทศพัฒนาได้เร็วขึ้น ซึ่งพวกเราเรียกกันว่า “โครงการสานพลังประชารัฐ” ปัจจุบันนายศุภชัย เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชนโครงการสานพลังประชารัฐด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ ในฐานะผู้นำ จนถึงวันนี้  นายศุภชัยได้ริเริ่มขับเคลื่อนโครงการด้านการศึกษา โดยมุ่งเน้นไป 4 ด้านคือ  1. ความโปร่งใสของข้อมูล ซึ่งจะต้องวัดออกมาเป็นเคพีไอออกมาได้ 2. เชื่อมโยงตลาดและการมีส่วนร่วมของชุมชน 3.  หลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา ครูและครูผู้สอน และ 5. การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้มีเด็กได้ตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบและเกิดการวิเคราะห์ ปัจจุบัน ได้ทำงานร่วมกับครูใหญ่และครูในโรงเรียนต่างๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังไม่สามารถสรุปผลทั้งหมดที่แน่ชัดได้

นายชาติศิริ โสภณพณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันภูมิภาคอาเซียนได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่นักลงทุนในภูมิภาคอาเซียน แต่ยังมาจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ ที่ได้เห็นศักยภาพจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค การรวมกลุ่มทางภูมิภาคที่เหนียวแน่นขึ้นนี้ ทำให้ตลาดเติบโตและเกิดความต้องการสินค้าและบริการมากขึ้น นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงตลาดเข้าหากันและประเทศไทยจะได้ประโยชน์คือ กลายเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค สร้างโอกาสและส่งผลดีต่อทุกภาคส่วน 

ภาคธนาคารได้เห็นโอกาสนี้ จึงได้มีการขยายสาขาเข้าไปรองรับในภูมิภาค ปัจจุบันเห็นได้ว่า มีการร่วมลงทุนระหว่างบริษัทไทยและบริษัทท้องถิ่นในเวียดนาม บริษัทไทยเข้าไปร่วมลงทุนในเมียนมาและบริษัทเมียนมาได้ขยายลงทุนในประเทศตนเอง โดยภาคธนาคารไทยได้เข้าไปช่วยประเทศเพื่อนบ้านหาเม็ดเงินทุนผ่านรูปแบบทางการเงินต่างๆ 

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประตูสู่เอเชีย มีจำนวนประชากรกว่าครึ่งโลก เนื่องจากไทยเป็นส่วนหนึ่งของ ASEAN+3, ASEAN+6 และ ASEAN+9 อย่างไรก็ตาม แต่ละตลาดก็มีความต้องการของผู้บริโภคต่างกันไป และไทยเบฟฯกำหนดเป้าหมายปี 2020 คือ จะเป็นหนึ่งในผู้นำบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน รวมถึงพยายามสร้างรายได้สมดุลระหว่างในประเทศและต่างประเทศ

หมายเหตุ : งาน Thailand Big Strategic Move  ถูกจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ โดยเชิญนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนจากทั่วโลกรวมทั้งนักลงทุนสถาบันของไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย มาร่วมรับฟังข้อมูลและแผนยุทธศาสตร์ชาติและโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทย โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน