ปี 2563 มูลค่าการส่งออกปศุสัตว์ไทยมีประมาณ 2 แสนล้านบาท จาก 5 ปีก่อนมีมูลค่าเพียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคปศุสัตว์ 5.6% ในปีนี้ และประเมินว่าปีหน้าจะเป็นผู้ส่งออกอาหารลำดับต้นๆของโลก ซึ่งภาคเอกชนอย่าง ซีพีเอฟ ได้นำร่องเป้าหมายดังกล่าวแล้ว
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า จากแบรนด์ “ยูฟาร์ม” ซึ่งเป็นอาหารปลอดการใช้สารชีภาพ ประสบผลสำเร็จไปแล้วในผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา จึงได้ทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเป็น“เนื้อหมูชีวา” ที่อุดมด้วยไขมันดี มีโอเมก้า 3 สูง สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ทั้งใส่ใจในสุขภาพและให้ความสำคัญกับหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare)
โดยเป็นการพัฒนาหมู ตั้งแต่สายพันธุ์ อาหารที่เลี้ยง วิธีการเลี้ยง เพื่อให้ได้มาซึ่งเนื้อหมูไขมันดี และมีโอเมก้า 3 สูง ตอบโจทย์ความต้องการของ
ผู้บริโภค โดยมีงานวิจัยรองรับ ได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงจาก NSF องค์กรชั้นนำด้านการรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในระดับนานาชาติ และคว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมอาหารจากงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก THAIFEX–Anuga Asia 2020 ด้วย
“หมูชีวา" จะเป็นต้นแบบของการยกระดับการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ ครบคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่รักสุขภาพโดยตรง ในช่วงแรก จะวางจำหน่ายที่เซ็นทรัล เดอะมอลล์ ฟู้ดแลนด์ วิลล่า และซีพีเฟรชมาร์ท ก่อน ส่วนการส่งออก นั้นจะพิจารราหลังจากนี้ ซึ่งตลาดที่ทำได้เลยคือฮ่องกง ที่ปัจจุบันส่งออกไก่เบญจาไปแล้ว และญี่ปุ่นในลักษณะสุกรแปรรูป
สมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสุกร กล่าวว่า การผลิตสุกรแม่พันธุ์สุกรของในเครือซีพีเอฟทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะนี้มีประมาณ 9 แสนตัว ถือเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากผู้ผลิตในจีน ที่มีกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านตัวขึ้นไป ซึ่งตัวเลขไม่ห่างกันมาก ดังนั้น ซีพีเอฟจึงมีโอกาสจะก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 2 ได้ แต่ทั้งนี้ ในอุตสาหกรรมสุกร ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคระบาดที่มาเร็วและแรง ทำให้ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ดังนั้น การวางแผนผลิตต้องพิจารณาไปตามสถานการณ์
สำหรับซีพีเอฟผลิตสุกรในประเทศไทย มีประมาณ 5 ล้านตัวต่อปี ยังครองสัดส่วนการตลาดอันดับที่ 1 จากการผลิตสุกรทั้งประเทศที่ 18 ล้านตัว โดยมีการเติบโตที่ 1-2 % สุกรที่ผลิตได้ ส่วนใหญ่จะใช้บริโภคภายในประเทศ การส่งออกมีบ้างในลักษณะของการแปรรูป ซึ่งจากการระบาดของโรค
อหิวาต์แอฟริกาในสุกร(ASF)ทำให้สุกรของจีนหายไปจากตลาดกว่า 200 ล้านตัว ส่งผลให้จีนต้องการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐ โดยเข้าไปรับรองฟาร์มแล้ว แต่ไม่สามารถนำเข้าได้เพราะมีจากปัญหาสงครามทางการค้าและโควิด จึงหันไปนำเข้าจากเยอรมนีแทน แต่ก็มีปัญหาโควิดเช่นกัน
ปัจจุบัน จีนอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อนำเข้าจากรัสเซีย ซึ่งจะเป็นโอกาสของ ซีพีเอฟที่ได้ตั้งฟาร์มเลี้ยงสุกรที่รัสเซียเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังเจรจากับไทย หากมีความเห็นชอบร่วมกันก็จะสามารถส่งออกได้ ทั้งนี้ หมูชีวา ของซีพีเอฟจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภค แม้ปัจจุบันยังไม่มุ่งเน้นเรื่องการส่งออก แต่หากตลาดมีความต้องการ ซีพีเอฟก็สามารถขยายกำลังการผลิตได้ โดยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเนื้อหมูปลอดภัยของซีพีเอฟ ประมาณ 10 %
“หมูชีวา คือการเลี้ยงที่ไม่ใช้สารชีวภาพเลย ในขณะที่ปลูกปลอดภัยจะมีการใช้วัคซีน แต่จะงดให้ ก่อนเข้าโรงชำแหละ 1 เดือน เพื่อให้เนื้อหมูปลอดภัยก่อนถึงมือผู้บริโภค “
ทั้งนี้ หมูชีวา ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 400-500 ตัวต่อวัน หากความต้องการของตลาดมากขึ้นทางซีพีเอฟก็พร้อมขยายกำลังการผลิต เนื่องจากมีฟาร์มพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที
เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปี2564 ไทยจะผลักดันการส่งออกอาหารให้อยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ของโลก จากปัจจุบันไทยส่งออกอาหารเป็นอันดับ 12 ของโลก ภายใต้นโยบายนำภาคเกษตรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป้าหมายให้ประเทศเข้มแข็ง ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ สถานการณ์โควิดทำให้โลกต้องการอาหารปลอดภัยทำให้ภาคเกษตรมีความสำคัญมากในการพลิกฟื้นประเทศของเรา ใครฟื้นเร็วกว่าคือได้เปรียบ เป็นโอกาสของธุรกิจ และของประเทศ
สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า สำหรับหมูชีวา เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต และเป็นการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ทั้งยังได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ‘ปศุสัตว์OK’
ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิชาการอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าว ด้วยความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอาหารสัตว์ ทำให้อาหารของหมูชีวามีความพิเศษและแตกต่างจากอาหารหมูทั่วไป เนื่องจากใช้ซูเปอร์ฟู้ดอย่างเมล็ด flaxseed น้ำมันปลา และสาหร่ายทะเลลึก มาเป็นวัตถุดิบในสูตรอาหาร เพื่อเป็นแหล่งของโอเมก้า3 ให้หมูชีวาสามารถสะสมสร้างเป็นไขมันดีเพื่อสุขภาพได้สำเร็จ
นอกจากนี้ ได้เลี้ยงสุกรในเป็นโรงเรือนปรับอากาศและไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู จึงมั่นใจได้ว่าหมูชีวาปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับผู้บริโภคทุกคน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ