นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากปัญหาการลดลงของพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยที่เข้าขั้นวิกฤต ส่งผลกระทบถึงความสมดุลของสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ และในฤดูแล้งทุกปีมักพบว่าทางภาคเหนือมักประสบกับปัญหาหมอกควัน เนื่องจากการเผาพื้นที่เพื่อทำเกษตรกรรม หรือการเกิดไฟป่าด้วยเหตุนี้จังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือรวม 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง และตาก จึงร่วมมือกับ ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน จัดกิจกรรมและคอนเสิร์ต“คนไทยรักษ์ หวงแหนป่า” โดยวงดนตรีคาราบาว วงดนตรีแนวเพื่อชีวิตที่มีแฟนเพลงอยู่มากที่สุด เพื่อรณรงค์และปลุกจิตสำนึกให้คนไทยหันมาสนใจรักษ์และหวงแหนป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากรน้ำ อันเป็นสายเลือดสำคัญต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทยและชีวิตผู้คน รวมถึงการรณรงค์เพื่อลดการสร้างหมอกควันและไฟป่า
ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ กล่าวต่อไปว่า การที่ทุกภาคส่วนในสังคมมีความตระหนักถึงปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ได้ทำให้ชุมชนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่าง ๆ เกิดการตื่นตัวและรับรู้ว่าสังคมกำลังให้ความกับสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทำงานในปีนี้เราจึงเน้นเรื่องคนและชุมชน โดยรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมทั้งป้องกันและแก้ไขกรณีที่เกิดไฟป่าไม่ว่าจะจากกรณีใดก็ตาม
“สำหรับประชาชนที่อยู่บนดอย เราต้องให้กำลังใจเขา สร้างทางเลือก สร้างโอกาส และสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เขา โดยนำกระแสพระราชดำริที่ว่าจะต้องมีป่าและมีรายได้จากป่า เข้าไปปรับใช้ โดยนำภาควิชาการเข้าในสนับสนุน จะทำให้คนอยู่กับป่าได้และไม่ทำลายป่า ตรงนี้เราจะต้องสร้างทั้งจิตสำนึก ในการไม่เผาทำลายป่า สร้างอาชีพและสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพให้เขาอยู่ได้ ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะลดลง สำหรับปัญหาไฟป่าหมอกควันในปีนี้จะบอกว่าไม่ให้เกิดขึ้นเลยก็คงเป็นความฝันของทุกคนอยู่แล้ว แต่เมื่อตอนนี้เรายังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่สิ่งที่เราจะต้องทำคือ เราจะต้องสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมให้กับคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ที่ก่อให้เกิดปัญหา ทำอย่างไรให้ชาวบ้านท้องอิ่มโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ผู้ที่เข้าไปแก้ปัญหาก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ พร้อมที่จะแก้ไขได้ทัน ผู้ที่เข้าไปช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาก็ต้องสนับสนุนความรู้ด้านวิชาการ เพื่อให้เกษตรกรสามารถที่จะนำความรู้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตของเขาได้ ตรงนี้เป็นความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนเพื่อที่จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน”
ผศ.พาวิน มะโนชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า จากปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ที่ดิน และน้ำ จนเกิดวิกฤตในสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือ การขาดความรู้ ความเข้าใจในการอนุรักษ์ รักษา และใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า จึงทำให้ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบ
ในส่วนของภาคการศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมและให้ความสำคัญ โดยมีโครงการศึกษาและวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งได้มีการศึกษา วิเคราะห์สภาพปัญหา ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ก่อให้เกิดการพัฒนาและปรับเปลี่ยนวิถีของชุมชน
ในการนี้ภาคการศึกษาได้ร่วมกิจกรรมคนไทยรักษ์ หวงแหนป่า โดยการจัดนิทรรศการเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า นอกจากนี้ยังเสนอแนวการสร้างอาชีพ โดยแต่ละมหาวิทยาลัยได้นำองค์กรความรู้และเทคโนโลยีมาส่งเสริมเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกร เช่น การเลี้ยงไก่ประดู่หางดำ การปลูกมะม่วง การปลูกพืชบนวัสดุทีไม่ใช้ดิน การผลิตลำไยทรงเตี้ย เป็นต้น โดยหวังว่าเมื่อชุมชนมีอาชีพ มีรายได้จากอาชีพทางเลือก จะสามารถลดการเผาป่า ไม่ตัดไม้เพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตเป็นวัสดุเชื้อเพลิง ปุ๋ย หรือถ่านชีวมวล
นายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ ด้านประสานกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาการบุกรุกทำลายป่า รวมถึงการถดถอยของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และในฐานะเป็นองค์กรเอกชนที่มุ่งมั่นในแนวทางสู่ความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงพร้อมที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขทุกบริบทของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ในการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และเพื่อให้แน่ใจได้ว่าการประกอบธุรกิจะต้องตั้งอยู่บนฐานของความยั่งยืน
นอกจากนี้นายอภัยชนม์ ยังกล่าวด้วยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์อยู่ระหว่างการศึกษาหาพืชทางเลือกเข้ามาทดแทนเพื่อลดปริมาณพื้นที่การทำเกษตรในพื้นที่ป่าและภูเขา ซึ่งมีความท้าทายอย่างมากทั้งในด้านความเหมาะสมของพื้นที่ซึ่งจะต้องสามารถปลูกได้ผลผลิตที่ดี และมีตลาดมารองรับ
สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการสนับสนุนการจัดกิจกรรมและคอนเสิร์ตคนไทยรักษ์ หวงแหนป่านั้น ก็เพื่อการสร้างสำนึกในการรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์โดยโครงการซีพี สานฝันปันโอกาส...สู่คนรักษ์ป่า จะนำรายได้จากการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายมอบให้กับกองทุนที่ใช้ในการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าของแต่ละจังหวัด
คอนเสิร์ต “คนไทยรักษ์ หวงแหนป่า” ได้ประเดิมเวทีแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีขึ้นในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนการแสดงคอนเสิร์ตจะมีการเสวนาเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กิจกรรมและนิทรรศการ “คนไทยรักษ์ หวงแหนป่า” นิทรรศการความรู้การทำการเกษตร การปลูกและจัดการซังข้าวโพด การจัดจำหน่ายสินค้าโอท็อป กิจกรรมเกมส์ ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป และจะเริ่มแสดงคอนเสิร์ต ตั้งแต่เวลา 19.00-22.45 น.
อนึ่งกิจกรรมและคอนเสิร์ต “คนไทยรักษ์ หวงแหนป่า” จัดขึ้นทั้งสิ้น 7 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 24 มีนาคม 2559 ณ ฝูงบิน 416 กองทัพอากาศ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย วันที่ 25 มีนาคม 2559 จังหวัดพะเยา วันที่ 31 มีนาคม 2559 สนามโรงเรียนศรีเวียงสาวิทยาคาร อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน วันที่ 1 เมษายน 2559 จังหวัดลำพูน วันที่ 2 เมษายน 2559 สนามกีฬานครลำปางเทศบาล 7 อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และวันที่ 4 เมษายน 2559 ณ สนามกีฬาตากสิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก