“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ยังใช้ได้ดีกับทุกสมัย จึงไม่น่าสงสัยว่าเหตุใดธุรกิจเครื่องสำอางจึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโลกในปัจจุบันที่มีกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่“เครื่องสำอางแบรนด์ไทย” จะแจ้งเกิดในใจของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า แบรนด์ไทยมากมายที่ได้คุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล จนได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ที่สำคัญหาซื้อได้ในราคาที่เอื้อมถึง
หลายปีที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนคว้ารางวัลจากเวทีการประกวดที่การันตีได้ถึงคุณภาพและความสำเร็จ ดังเช่น “เนเจอร์ริช” “สโนว์เกิร์ล” และ “มิสโซว์” สามเครื่องสำอางแบรนด์ดังของคนไทย ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลายของทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ทั้งนิตยสารเซเว่นแคตตาล็อก เว็บไซต์ และร้านเซเว่น อีเลฟเว่นกว่า 8,400 สาขา โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มลูกค้ามายาวนานและมียอดขายเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การบริหารของ ดร.ธนธรรศ สนธีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเนเชอรัลโปรดักซ์ จำกัด หรือ ดร.โอเล่ วัย 40 ต้น
ดร.ธนธรรศ เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจว่า ก่อนนั้นครอบครัวขายสินค้าโอท็อป เริ่มจากกลุ่มแม่บ้าน 5 คน โดยซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น ข้าว มะกรูด ตะไคร้ มาแปรรูปผลิตเป็นแชมพู ครีมอาบน้ำ สบู่น้ำมันรำข้าวดิบ ฯลฯ แต่มีเอเย่นต์นำผลิตภัณฑ์ไปขายภายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รู้จักการค้าขายกับร้านสะดวกซื้อ ต่อมาทางเอเย่นต์ติดขัดด้านการเงินทำให้ไม่มีเงินทุนจัดส่งสินค้า ทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทราบปัญหา ได้เข้าช่วยเหลือโดยสำรองเงินสดมาให้ก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนเพิ่มเติม จึงได้เริ่มค้าขายโดยตรงกับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จากรายได้ยอดขายที่เริ่มต้นแค่หลักร้อย ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันคือหลักร้อยล้าน
การเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอางเต็มตัวของ ดร.โอเล่ เกิดจากความสนใจเป็นทุนเดิม เพราะจบปริญญาโททั้งด้านเทคโนโลยีทางอาหารและวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจ จึงนำความรู้มาผสานกับประสบการณ์ทำงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์มาผลิตเครื่องสำอาง เพราะต้องการยกระดับจากการผลิตแบบโอท็อปมาสู่ระดับเอสเอ็มอีเพื่อสร้างความมีมาตรฐานมากขึ้น ในวัย 33 ปี ดร.โอเล่ได้ก่อตั้งบริษัท สยามเนเชอรัลโปรดักซ์ จำกัด ในปี 2544 เพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องสำอางในกลุ่มดูแลผิวพรรณ (Skin Care) ที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ “เนเจอร์ริช”
เจ้าของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามเล่าอีกว่า จากการที่ได้ค้าขายกับร้านเซเว่นฯ มานานหลายปี ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ได้ร่วมมือกันจนผ่านวิกฤตไปด้วยดี ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นคู่ค้าที่ดีมีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน เมื่อนำเสนอเครื่องสำอางชิ้นแรกซึ่งเป็นเพียง “สินค้าต้นแบบ” มาเสนอกับทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง แม้จะยังไม่ใช่สินค้าจริงแต่ทางทีมงานเซเว่นฯ ก็มองเห็นถึงศักยภาพ จึงได้จองคิววันสำหรับวางจำหน่าย แต่ในระหว่างนี้ต้องกลับไปพัฒนาสินค้าจริงให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ที่กำหนด โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย อาทิ มาตรฐาน อย. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) GMP ฯลฯ นอกจากนี้ เซเว่นฯ ยังให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ อาทิ ลักษณะสินค้าที่จะขายดี ขนาดที่เหมาะสม การตั้งราคาจำหน่าย การเลือกสีสัน วิธีการโปรโมทสินค้า ฯลฯ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างมาก
ผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เนเจอร์ริช” เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดแรกที่เปิดตลาดผ่านนิตยสารเซเว่นแคตตาล็อคในปี 2545 กลุ่มเป้าหมายหลักคือสาวโรงงานและแม่บ้าน จุดเด่นคือการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ มาพัฒนาสินค้าที่มีความปลอดภัย เช่น ครีมกระเจี๊ยบแดง แชมพูมะกรูด สบู่ขิง ซึ่งเป็นวัตถุดิบปลูกในท้องถิ่นที่เป็นส่วนผสมเข้มข้นถึง 50% ต่อมาคือแบรนด์ “สโนว์เกิร์ล” ภายใต้คอนเซ็ปต์สาวญี่ปุ่น เจาะกลุ่มวัย 18-35 ปี แบรนด์นี้พัฒนามาจากองค์ความรู้ด้านการผลิตที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น ผสมผสานกับความปราณีตและการผลิตที่มีคุณภาพจากฝีมือคนไทยด้วยวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจากทั้งสองประเทศ และแบรนด์ “มิสโซว์” กลุ่มเป้าหมายหลักคือคนที่ชื่นชอบแนวเกาหลี เป็นแบรนด์ที่มีไว้สำหรับแข่งขันกับคู่แข่งโดยเฉพาะปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าวางจำหน่ายอยู่ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ช้อปปิ้งกว่า 10 รายการจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีกว่าร้อยชนิด
สิ่งที่ภูมิใจ คือ “สโนว์เกิร์ลครีมซีรั่มปลาฉลาม” และ “สโนว์เกิร์ล ครีมพอกหน้าเต้าหู้คอลลาเจนจากถั่วเหลืองงอก” สองผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ได้รับรางวัล 7 Innovation Awards ถึงสองปีซ้อนในปี 2014 และ 2015 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รางวัลคู่ค้ายอดเยี่ยมจากซีพี ออลล์ และรางวัลนวัตกรรมข้าวไทย ประจำปี 2555 โดยมูลนิธิข้าวไทย ซึ่งช่วยสร้างกำลังใจในการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จากแบรนด์สโนว์เกิร์ลเป็นมูลค่าถึง104 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้าในปี 2558 อยู่ที่ 200 ล้านบาท
“ปัจจุบันเตรียมขยายไลน์โปรดักส์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาตรฐานฮาลาล เพื่อก้าวไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นปัจจุบันแบรนด์สโนว์เกิร์ลมีการส่งออกไปต่างประเทศ เช่น พม่า ลาว เวียดนามและจีน ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี คาดว่าต่อไปอาจเจาะเข้าไปถึงตลาดมหาชนเพื่อเป็นโกลบอลแบรนด์ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้สินค้าไปขายถึงต่างประเทศคือโอกาสที่ได้วางจำหน่ายกับทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและผ่านช่องทางทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ทำให้ลูกค้าต่างชาติมาเห็นสินค้า และเมื่อซื้อไปใช้แล้วได้ผลดีจึงสั่งซื้อกับทางบริษัทฯและจำหน่ายในประเทศของเขา”
ความสำเร็จต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากการที่ได้มาเป็นคู่ค้ากับร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ที่ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ว่าหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ได้มีการเปิดตัวอย่างยั่งยืน สำหรับ บริษัท สยามเนเชอรัลโปรดักซ์ จำกัด ให้นิยามตัวเองว่าไม่ใช่เป็นเพียงแค่บริษัทผลิตหรือรับจ้างผลิตเท่านั้น แต่คือเอสเอ็มอีที่เป็นนักอินโนเวเตอร์ที่เน้นสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหญ่ของต่างประเทศต่อไป
ดร.ธนธรรศ ยังแนะนำผู้ประกอบการหน้าใหม่ด้วยว่า แม้การจำหน่ายสินค้าผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จะสร้างรายได้ที่รวดเร็วก็จริง แต่สำหรับเรื่องระบบการทำตลาด มาตรฐานของสินค้าหรือการสร้างตราสินค้า สิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการจะต้องเป็นคนลงมือเอง เพราะหน้าร้านก็เสมือนสถานที่สำหรับวางสินค้าจำหน่ายเท่านั้น ผู้บริโภคจะมาหยิบหรือไม่ อยู่ที่ผู้ประกอบการทั้งสิ้น
ผู้ประกอบการไฟแรงกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20-30% โดยนำเครื่องจักรมาช่วยเสริม แต่แรงงานในท้องถิ่นที่เป็นพนักงานมีอยู่ประมาณ 70 คน และยังคงให้มีการจ้างงานต่อไปพร้อมเตรียมขยายรับพนักงานเพิ่มขึ้น โดยเปิดโอกาสให้คนพิการในท้องถิ่นได้เข้ามาทำงานที่โรงงานตามปริมาณของออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับเกษตรกรทั้งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและอ่างทองก็ได้นำผลิตผลทางการเกษตรมาขายให้กับสยามเนเชอรัลโปรดักซ์ อาทิ ข้าวอินทรีย์ มะกรูด ตระไคร้ ขิง ฯลฯ รวมถึงซัพพลายเออร์ที่ผลิตกล่องกระดาษ บริษัทฯ เหล่านี้ต่างใช้แรงงานคนในท้องถิ่นและคนตาบอดผลิตสินค้า ก็จะเกิดอาชีพและรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปถือว่าเป็นการช่วยเหลือทั้งระบบ
“บริษัทฯ ยึดหลักคิดที่ว่า ความสุขคือความมีเมตตากรุณาต่อกัน เพราะจะเป็นเยื่อใยสายสัมพันธ์ที่ดีที่จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งถึงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน สำหรับเรื่องธุรกิจ เมื่อประสบความสำเร็จก็อยากผลักดันให้เพื่อนเอสเอ็มอีด้วยกันประสบความสำเร็จด้วยดังนั้น อีกบทบาทหนึ่งของเราคือเป็นผู้นำพัฒนากลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางเพื่อผนึกกำลังกันสร้างพื้นที่ตลาดสินค้าเครื่องสำอางไทยให้ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดกระแสคนไทยใช้เครื่องสำอางไทยที่มีคุณภาพดีมากขึ้น”
ดร.โอเล่ ทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าไทย จึงตั้งเป้าว่าต่อไปจะต้องสร้างให้เมืองไทยเป็น “บิวตี้ฮับ” ให้ได้ภายใน10 ปี ด้วยยุทธศาสตร์การสร้าง แบรนด์สินค้าให้มีความแข็งแรง เพิ่มมูลค่าสินค้าของแบรนด์ไทย และเพิ่มขีดความสามารถที่จะแข่งขันในประชาคมอาเซียนให้ได้อย่างยั่งยืน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ได้ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยเกือบ 500 ราย ในการเป็นช่องทางจัดจำหน่าย และมีสินค้าเอสเอ็มอีที่จำหน่ายผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง กว่า 6,300 รายการ สำหรับผู้ที่สนใจนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย สามารถติดต่อสำนักจัดซื้อ โทร. 02-677-9000 หรือ www.cpall.co.th หรือที่ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง โทร 02-711-7666